Sideway รอผล ข่าวสารภายนอกประเทศตลอดทั้งสัปดาห์นี้

110

แรงขายต่างชาติ ยังคงเป็นการขายสุทธิอยู่ แต่เริ่มชะลอลงตามคาด อย่างไรก็ดีเราประเมินแรงซื้อจะยังไม่กลับในระยะสั้น เนื่องจากมีประเด็นที่นักลงทุนจะรอติดตามปัจจัยภายนอกหลายประเด็นด้วยกัน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ได้แก่ i) การประชุมจี 7 (8-9 มิ.ย.) ซึ่งน่าจะถกกันเรื่องประเด็นการค้าโลก ii) การพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-ผู้นำเกาหลีเหนือ (12 มิ.ย.) iii) ผลประชุม ธ.กลางสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณดอกเบี้ยเฟดครึ่งปีหลัง (13 มิ.ย.) iv) ผลประชุม ธ.กลางยุโรป ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดของการลดมาตรการคิวอี (14 มิ.ย.) และ v) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของสหรัฐฯ ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนหรือไม่และเท่าใด (15 มิ.ย.) ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้อยู่ในภาพของการ Sideway down กรอบแนวรับ 1710 จุด ถึง 1680 จุด / แนวต้าน 1750 จุด … จนกว่าจะมีการปลดล๊อกทีละประเด็น

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในมุมของ Valuation ตลาดหุ้นไทย เราประเมินว่าอยู่ในระดับที่เริ่มน่าสนใจ โดยในเชิงพื้นฐาน Forward PE ปีนี้อยู่ที่ 15.6 เท่า คิดเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาว – 0.5SD ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทั้งของสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอการปรับขึ้นหลังเฟดเองแสดงท่าทีชัดเจนว่ายอมรับได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะทะลุเป้าหมาย ทำให้ตลาดฯกลับมาคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดปีนี้กลับมาเหลือ 3 ครั้ง (เป็นบวกในมุมของ Valuation ตลาดหุ้นโลก และเม็ดเงิน Fund flow) แต่ยังต้องรอผลการประชุมเฟดกลางสัปดาห์นี้ว่าจะส่งสัญญาณอย่างไรในช่วงครึ่งปีหลังอีกที ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีเอง ก็น่าจะมีอัพไซต์ในการปรับขึ้นอีกไม่มาก เนื่องจากได้ปรับขึ้นมา >0.3% สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ไปแล้ว (เป็นบวกในมุมของ Valuation ตลาดหุ้นไทย)

โดยสรุปเรายังคงประเมินว่าการปรับลงของดัชนี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในไทยไม่เปลี่ยนแปลง เป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้น เราแบ่งธีมการลงทุนออกเป็น 3 ธีมดังนี้

1) หุ้นกลุ่มเชื่อมโยงตัวเลข GDP ไทย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, COM7) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, AH, ASAP) กลุ่มสื่อ (PLANB)

2) หุ้น Earnings bottom ใน 1Q61 และ Earnings momentum 2Q61 – 3Q61 โตต่อเนื่อง ได้แก่ CPF, SIMAT (รับรู้รายได้การซื้อกิจการใหม่ตั้งแต่เดือน มิ.ย.), EPG (คาดผลประกอบการพ้นจุดต่ำสุดแล้ว รอการฟื้นตัวในปีนี้)

3) หุ้นกลุ่มนิคมฯ และรับเหมาฯ คาดจะยังได้อานิสงส์จากการที่ พรบ EEC มีผลบังคับใช้ เลือก WHA, CK, STEC

โดยสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)

www.mitihoon.com