หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกมีมติขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ถือเป็นแรงหนุนช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นในระยะกลาง โดยนโยบายลดค่าไฟฟ้า–น้ำมัน ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่ภาครัฐฯต้องรีบดำเนินการแก้ไขเป็นลำดับแรก ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนกันยายนนี้ ทำให้นักลงทุนแห่ปรับพอร์ตกันยกใหญ่ แต่จะมีหุ้นกลุ่มไหนบ้างที่น่าลงทุน และกลุ่มไหนควรเลี่ยง
โบรกฯ หวั่นราคาก๊าซเร่งตัว
ด้านบล.เมย์แบงก์ มีมุมมองถึงนโยบายการปรับลดค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาท/กิโลวัตต์/ชั่วโมง จาก 4.45 บาท/กิโลวัตต์/ชั่วโมง เริ่มรอบบิลเดือน ก.ย.นี้ ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับลดลงกว่า 10% ซึ่งราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมมองว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีก จะได้รับอานิสงค์ อาทิ CPALL ,CPAXT ,CRC ,BJC และ CPN แต่หุ้น GPSC และ BGRIM จะได้รับผลกระทบ
ส่วนนโยบายลดค่าน้ำมัน ที่ปรับลดราคาดีเซลให้ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร มีผลวันที่ 20 ก.ย.นี้ ทางภาครัฐฯ ได้ใช้กลไกลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ภาครัฐฯ แต่ไม่กระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในขณะเดียวกันหากรัฐฯ มีมติปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน มองว่ามีโอกาสใช้กลไกผ่านการลดค่าการตลาด ซึ่งถ้าภาครัฐฯ กำหนดค่าการตลาดไม่เกิน 2 บาท อาจทำให้ผู้ประกอบการสถานีน้ำมันเกิดความกังวลต่อได้
อีกทั้งมองว่าหากทิศทางราคาก๊าซเร่งตัวขึ้น จะทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูง กระทบประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัท และเป็นความเสี่ยงในระยะถัดไป หวั่นกระทบหุ้นกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน ได้แก่ OR ,PTG แต่หุ้นกลุ่มค้าปลีกจะได้รับอานิสงค์ เช่น SJWD
หุ้นท่องเที่ยว–ค้าปลีก โตเด่น
ด้านบล.ทิสโก้ มองว่านโยบายลดค่าไฟฟ้านั้นยังไม่มีความชัดเจนถึงวิธีการปรับลด แต่หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด คงไม่พ้น BGRIM ,GPSC และ PTT ในขณะเดียวกันหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือหุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL
ส่วนนโยบายปรับลดราคาน้ำมัน โบรกฯ คาดว่าไม่กระทบต่อการทำกำไรของบริษัท ต้องติดตามกันต่อว่ารัฐฯ จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรเพิ่มเติมอีก รวมถึงราคาน้ำมัน–แก๊สโลกหลังจากนี้จะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยได้ต่อ พร้อมชี้หุ้นที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มโลจิสติกส์และกลุ่มค้าปลีก ในขณะที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและเคมีเสี่ยงรับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี โบรกฯ มองว่าครึ่งปีหลังนี้ การลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานจะเป็นไปได้ยาก แนะลงทุนหุ้นที่ได้รับอานิสงค์จากภาคการเศรษฐกิจฟื้นตัว อาทิ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มค้าปลีก
บล.กสิกร มองสวนตลาด
ด้านบล.กสิกรไทย มีมุมมองถึงนโยบายปรับลดราคาน้ำมันดีเซล ผ่านวิธีการลดภาษีสรรพสามิตและเงินอุดหนุนกองทุนน้ำมันฯ หากรัฐฯต้องการลดราคาน้ำมันดีเซลเหลือ 30 บาท/ลิตร จะต้องหาเงิน 9 บาท/ลิตร มาอุดหนุน ในขณะที่นโยบายปรับลดค่าไฟฟ้า ทำได้ผ่านการลดค่า Ft เพิ่มเติมอีก 10 สตางค์/หน่วย หลัง กกพ. มีมติให้ลด 24 สตางค์/หน่วย เป็น 0.6689 บาท/หน่วย เพื่อทำให้ค่าไฟฟ้าเป็น 4.10 บาท/หน่วย สอดคล้องกับค่าพลังงานที่ลดลงจริงและทำให้ค่าไฟฟ้าปัจจุบันสอดคล้องกับต้นทุนพลังงาน โดยการลดค่า Ft ทุก ๆ 10 สตางค์ จะกระทบกำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อยู่ประมาณ 5-8% นั่นคือ BGRIM, GPSC
ทั้งนี้โบรกฯมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะซื้อหุ้นค้าปลีกน้ำมันและโรงไฟฟ้าเพิ่ม บล.กสิกรไทย ยังคงชอบธุรกิจพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น อาทิ PTTEP SPRC และ ESSO มากกว่า
อย่างไรก็ตาม โบรกฯ มองว่านโยบายดังกล่าวจะเริ่มมีผลอย่างชัดเจนในช่วง Q4/66 แต่เศรษฐกิจภาพรวมอยู่ในทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง อ้างอิงจากข้อมูลของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งคาดการณ์เม็ดเงินไหลเข้าประเทศไทยในปี 66 ราว 8 หมื่นลบ. และตัวเลข GDP เพิ่มขึ้น 0.4-0.5% ในปีนี้ ถือเป็นการขยายตัวจากปี 65 ที่ 3.3% รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัว
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon