SCB WEALTH มองตลาดตราสารหนี้ปี2567ยังสร้างผลตอบแทนดีต่อเนื่อง แนะลงทุนกลุ่มInvestment grade คาดหุ้นกู้ไทยออกใหม่อีก1ล้านล้านบาทในปีนี้

371

มิติหุ้น –  SCB  WEALTH มองตลาดตราสารหนี้ในปี 2567 ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี จากอานิสงส์ดอกเบี้ยคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มปรับตัวลงในอนาคต   หุ้นกู้ส่วนใหญ่อายุเฉลี่ยยาว จ่ายดอกเบี้ยรับคงที่ แนะลงทุนหุ้นกู้ต่างประเทศ Investment  Grade  ระวังการลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ High Yield  หวั่นมีความเสี่ยงการชำระหนี้  โดยเฉพาะผู้ออก rollover ช่วงดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง  ส่วนหุ้นกู้เอกชนไทยไม่น่ากังวล มี High Yield ต่ำกว่า 10% ของตราสารหนี้ในตลาดทั้งหมด คาดปีนี้มีหุ้นกู้ออกใหม่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท เป็น High Yield 1.3 แสนล้านบาท  แนะควรกระจายความเสี่ยง ลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ไม่มาก และศึกษาเงื่อนไขการลงทุนอย่างรอบคอบ หากไม่พร้อมลงทุนด้วยตนเอง  แนะเลือกลงทุนผ่านกองทุน SCBDBOND 

นายศรชัย สุเนต์ตาCFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปี 2567  คาดว่าจะยังสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จากการที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุด  และมีแนวโน้มปรับตัวเป็นขาลงในอนาคต จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ซึ่งตราสารหนี้ทั่วโลกส่วนใหญ่ มีอายุเฉลี่ยยาว และจ่ายดอกเบี้ยรับ (coupon) คงที่  โดยเมื่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรลดลง   ราคาของพันธบัตรมักจะปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนนอกจากจะได้รับผลตอบแทนจาก Coupon  แล้ว ยังจะได้รับผลตอบแทนจาก capital gain  เพิ่มอีกด้วย

ทั้งนี้  จากการศึกษาข้อมูลในอดีต  พบว่า นับจากวันที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นครั้งสุดท้ายไปอีก 12 เดือนข้างหน้า ตราสารหนี้ต่างประเทศจะทำผลงานได้ค่อนข้างดี เช่น ในปี 2527 , 2532 ,2538 , 2543 , 2549 และ 2551 เมื่อดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดแล้วหยุดขึ้น หุ้นกู้สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับ 10-24% และเมื่อเข้าสู่วงจรที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลงใน 1-2 ครั้งแรก ใน 6-12 เดือนข้างหน้า ตราสารหนี้ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถทำผลงานได้ดีมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ทำได้ ในขณะที่สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เมื่ออยู่ในช่วงดอกเบี้ยหยุดขึ้นอาจจะยังทำผลงานได้ดี แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มลดลงครั้งแรก จะทำผลงานได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (underperform)  หรืออาจให้ผลตอบแทนติดลบ

สำหรับภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในปีที่ผ่านมา  สร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยกลุ่มตราสารหนี้ภาคเอกชนที่อยู่ในระดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่ลงทุนได้ และ มีความเสี่ยงสูง ประเภท หุ้นกู้ High Yield สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงสุดประมาณ 13.5% เป็นผลจากตลาดเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยมองว่าเศรษฐกิจจะมีทิศทางชะลอตัวอย่างช้าๆ (Soft Landing) จากช่วงต้นปีที่มองว่าเศรษฐกิจอาจเกิดภาวะถดถอย (Recession)  นักลงทุนจึงพร้อมเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk on) เป็นผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้สร้างผลงานได้ดีช่วงปลายปี รวมถึงตราสารหนี้ High Yield ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567-2568 นี้ จะเริ่มมีอุปทาน High Yield ออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมาก ที่ต้องการออกหุ้นกู้  High Yield เพื่อนำไปชำระหนี้เดิม (rollover)   แม้จะมีความท้าทายที่จะต้องออกหุ้นกู้ ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่งบดุลของบริษัทที่ออกตราสารประเภทนี้อาจไม่ได้ดีเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มองว่า ตราสารหนี้ High Yield อาจไม่น่าสนใจลงทุน และต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการ rollover มากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงที่มาจากความสามารถในการชำระหนี้  กรณีที่ต้อง rollover ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้  จึงแนะนำให้นักลงทุนควรมีตราสารหนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้  เพราะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้ดีกว่าในอดีตที่ผ่านมา   หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ในระดับค่อนข้างต่ำ ควรมีตราสารหนี้ประมาณ 70-80% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง  แต่หากรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง อาจมีตราสารหนี้ 50-60%  และส่วนที่เหลือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง

นายศรชัย  กล่าวต่อไปว่า  การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนไทย  โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ขณะที่ตราสารหนี้ High Yield หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิต มีต่ำกว่า 10% ของหุ้นกู้ทั้งหมด ดังนั้นตลาดโดยรวมจึงยังไม่น่าเป็นห่วง และคาดว่าในปีนี้จะมีการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม ที่ครบอายุประมาณ 1 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่ม Investment Grade มีความต้องการซื้อเข้ามาตลอดเวลา   จึงไม่มีปัญหาในการ rollover  เมื่อมีการออกหุ้นกู้ใหม่ ส่วนหุ้นกู้ประเภท  High Yield ออกใหม่ คาดว่าจะมีประมาณ 1.3 แสนล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเรามองว่า ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น  ควรเน้นคัดเลือกอุตสาหกรรมที่ไม่น่ากังวล  มีหนี้สินต่อทุนยังต่ำ และ แนวโน้มธุรกิจมีการเติบโตได้ดี

สำหรับข้อแนะนำการลงทุนในหุ้นกู้High Yield  ควรกระจายความเสี่ยง ลงทุนในแต่ละตัวไม่มาก และให้ความสำคัญในการดูเงื่อนไขของหุ้นกู้ประกอบให้มาก เช่น เป็นหุ้นกู้ประเภทไหน มีหลักประกันหรือไม่ หลักประกันนี้ยึดได้ทันทีที่ผิดนัดชำระเลยหรือไม่ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรลงทุนหุ้นกู้ที่มีระดับความเสี่ยงลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น ส่วนในกรณีที่มองว่าไม่สามารถคัดเลือกหุ้นกู้เองได้แบบละเอียดถี่ถ้วน แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Dynamic Bond หรือ SCBDBOND ที่เน้นคัดเลือกลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนที่มีคุณภาพสูง อยู่ในระดับ Investment Grade ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สามารถช่วยลดความกังวลต่อเครดิตเรตติ้งของตราสารหนี้ให้นักลงทุนได้ระดับหนึ่ง กองทุนนี้มีความยืดหยุ่น ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับกลยุทธ์เพิ่มหรือลดอายุของตราสารหนี้ (Duration) เพื่อให้สอดคล้องกับจังหวะตลาด ช่วยสร้างผลตอบแทนบนสภาวะดอกเบี้ยในสถานการณ์ดอกเบี้ยทุกรูปแบบได้

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon