ยามสงครามสงบ ยอมสยบหรือเป็นโอกาส?

280

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับตัวลงมาแรง หลังมีประเด็นข่าวอิหร่านโจมตีอิสราเอล เพื่อตอบโต้การถูกโจมตีทางอากาศต่อสถานกงสุลอิหร่านในซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เม.ย.67 จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และทองคำยืนอยู่ระดับสูงในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ประกอบกับมีปัจจัยกดดันจากเจ้าหน้าที่ FED ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย

ทั้งนี้สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย เมื่ออิหร่านไม่ต้องการยกระดับความตึงเครียด แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของอิสราเอล หากอิหร่านปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่ารวดเร็วและอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อ

Fund Flow ไหลเข้าเอเชีย

โดยนายจารุชาติ บูชาชาติ นักกลยุทธ์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ต้องใช้เวลา 1 – 2 เดือน ในการคลี่คลายเรื่องปัญหาสงคราม แต่มองว่าจะคล้ายกับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อออกไปในระยะยาว และอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันให้แกว่งตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งมีผลต่อเงินเฟ้อและต้นทุนวัตถุดิบ ขณะนี้มีบางโบรกต่างประเทศเริ่มคาดว่าปีนี้ FED จะไม่มีการลดดอกเบี้ย

ในส่วนภาคการลงทุนในหุ้นโลกให้หลีกเลี่ยงกลุ่มหุ้นเทคและกลุ่มที่มีหนี้สินเยอะ คาดว่า Fund Flow จะย้ายมายังเอเชียโดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก แต่หาก S&P500 กลุ่มสินค้าจำเป็นปรับตัวขึ้นแซงสินค้าฟุ่มเฟือย แสดงว่าเกิดการแพนิคขึ้น ทำให้ Fund Flow จะถูกกดดันไปยังตลาดตราสารหนี้

จับจังหวะการลงทุน ช่วงตลาดฟื้นตัว

ทาง Finnomena Funds เผยว่า เวลาเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งใหญ่ ๆ จากสถิติที่ผ่านมา จะกดดันตลาดเฉลี่ย 22 วัน และตลาดจะ Recover เฉลี่ย 47 วัน โดยค่าเฉลี่ยของ Drawdown อยู่ที่ -5.9% อาทิ เหตุการณ์ปีที่แล้ว ระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งกดดัน S&P500 ลงประมาณ 4-5% แต่ก็ฟื้นได้ภายใน 1 เดือน จึงพอสรุปได้ว่าสงคราม การก่อการร้าย และความไม่สงบรูปแบบต่าง ๆ มีผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นเท่านั้น และมักจะเป็นโอกาสการลงทุนมากกว่าการตื่นกลัว

ดังนั้นแนะทยอยสะสมกองทุนระยะกลาง-ยาว ได้แก่ หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A ,หุ้นยุโรป ONE-EUROEQ ,หุ้นสหรัฐอเมริกา AFMOAT-HA ขณะที่กองทุนเก็งกำไรระยะสั้น ตามสัญญาณทางเทคนิค ได้แก่ หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A ,หุ้นยุโรป ONE-EUROEQ และ ABEG, หุ้นอินเดีย B-BHARATA และ TISCOINA-A ,หุ้นจีน B-CHINE-EQ และ K-CHINA-A(A)

ทองคำยังไม่หมดเสน่ห์

ด้านราคาทองคำ ทางบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ระบุว่า แม้ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรจากการคลายความกังวลเรื่องสงคราม ทำให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แต่ยังคงเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้ที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

เนื่องจากยังมีความต้องการทองคำ ในระยะยาวที่มั่นคงของธนาคารกลางทั่วโลกกว่า 1,000 ตัน/ปี เป็นแรงหนุนสำคัญ และกระแสการลดอำนาจสกุลเงินดอลลาร์ สนับสนุนให้เกิดแรงซื้อทองคำสะสมของธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง ส่วนระยะยาว 2 – 3 ปี ยังมองเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ถึงแม้ปีนี้ FED จะมีการยืดระยะเวลาการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้มาก

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon