มิติหุ้น – GDP ไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโต 1.5% YoY วิจัยกรุงศรีอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการเศรษฐกิจทั้งปี 2567
สภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัว 1.5% (นักวิเคราะห์และวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ 0.8% และ 0.7% ตามลำดับ) เทียบกับขยายตัว 1.7% ใน 4Q66 ปัจจัยบวกสำคัญมาจากภาคท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นช่วยหนุนให้การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกภาคบริการยังคงขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง (+6.9% และ +24.8% ตามลำดับ) ขณะที่การส่งออกกลับมาหดตัว (-0.2%) และการหดตัวต่อเนื่องของการลงทุนภาครัฐ (-27.7%) จากความล่าช้าในการจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567
GDP ในไตรมาสแรกที่ปรับผลของฤดูกาลออกขยายตัวที่ 1.1% QoQ sa ดีกว่าที่นักวิเคราะห์และวิจัยกรุงศรีคาดไว้ 0.6% และ 0.5% ตามลำดับ ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยสามารถหลุดพ้นจากความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยหลังจากที่หดตัว 0.4% ใน 4Q66 สำหรับในช่วงที่เหลือของปี วิจัยกรุงศรีประเมินเศรษฐกิจไทยจะยังมีการฟื้นตัวตามวัฏจักร โดย GDP มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากไตรมาสแรก (เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน) ปัจจัยบวกจาก (i) การใช้จ่ายภาครัฐที่จะเร่งขึ้นในช่วงไตรมาส 2 โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบฯ ลงทุน (หลังล่าช้าไป 7 เดือน) และ (ii) การเติบโตของภาคท่องเที่ยว ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนให้เกิดการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีกำลังทบทวนการประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้เพื่อสะท้อนการเติบโตของ GDP ในไตรมาสแรกที่ดีกว่าคาด รวมถึงข้อจำกัดและอุปสรรค โดยเฉพาะประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคครัวเรือนมากขึ้น ท่ามกลางความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผู้บริโภคที่อ่อนแอลง รวมถึงผลกระทบจากภัยแล้งที่กดดันปริมาณผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรอีกด้วย ขณะที่ล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือเติบโต 2.0-3.0% จากเดิมคาด 2.2-3.2%
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมร่วงลงในต้นไตรมาสสอง ชี้เศรษฐกิจยังมีความเปราะบางในการฟื้นตัว ในเดือนเมษายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับ 62.1 จาก 63.0 ในเดือนมีนาคม เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นหลังจากทางการทยอยลดการอุดหนุน ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรรม (TISI) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 90.3 จาก 92.4 เดือนมีนาคม เนื่องจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่ผู้ประกอบการกังวลต้นทุนการผลิตที่ปรับสูงขึ้นจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล รวมถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาทต่อวัน
แม้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสองจะได้แรงขับเคลื่อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มถูกกดดันจากความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลง ประกอบกับล่าสุดการรายงานของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติชี้ว่ากลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (หนี้ค้างชำระมากกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน) ในไตรมาสแรกของปีนี้ปรับเพิ่มสูงขึ้น 32.4% YoY และ 15.0% YoY ตามลำดับ ซึ่งสินเชื่อในกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้เสียและอาจส่งผลให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้นซึ่งจะบั่นทอนการเติบโตของการบริโภคได้ในระยะถัดไป
สำหรับความกังวลของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั่นต่ำทั่วประเทศ 400 บาทต่อวัน ล่าสุดคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการแต่ละจังหวัดเป็นผู้พิจารณาว่าสมควรที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละเท่าไร มีกิจการใดบ้างที่ควรปรับขึ้นค่าจ้าง และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon