มิติหุ้น – FDI ที่แข็งแกร่งน่าจะทำให้ยอดขายที่ดินในปี FY24-26 เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากก่อนโควิด
เราคาดว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทยจะมีมูลค่า 6.396 แสนล้านบาทในปี 2024 หรือเพิ่มขึ้นถึง 127% จาก 2.819 แสนล้านบาทในปี 2019 เพราะได้ประโยชน์จากการย้ายห่วงโซ่อุปทาน โดยเราพบว่าเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้า (FDI inflow) ประเทศไทยและยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2000-23 มีค่าสหสัมพันธ์ (correlation) สูงถึง 67.3% และเราคาดว่ายอดขายที่ดินใหม่ของ AMATA และ WHA จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากเฉลี่ย 1,744 ไร่ต่อปีก่อนโควิดในปี 2013-19 เป็น 4,075 ไร่ในปี 2024, 4,075 ไร่ในปี 2025 และ 3,825 ไร่ในปี 2026 เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีนทำให้ธุรกิจต่างๆ เร่งย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศพันธมิตร (friend-shoring) เราจึงเชื่อว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์และ EV, Data centre และพลังงานทดแทนจะขับเคลื่อนอุปสงค์ของที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของไทยในปี 2024-26
ปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ปี FY24-26 ขึ้น 3.8-14% สะท้อน upside
เราปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2024-26 ขึ้น 3.8-14% สะท้อน FDI inflow ที่เพิ่มขึ้น และปัจจุบัน เราคาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเติบโตเฉลี่ย 20.6% CAGR ในปี 2024-26 ส่วนกำไรจากการดำเนินงานปกติของกลุ่มน่าจะเติบโต 14.7% CAGR ในช่วงเวลาเดียวกันจาก 1) การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มขึ้น, 2) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จากการขายที่ดินสูงขึ้นและ 3) รายได้ประจำที่เติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่ผลการศึกษาความอ่อนไหวชี้ว่าแนวโน้มการขายที่ดินล็อตใหญ่ในปี 2024 อาจทำให้กำไรสุทธิในปี 2024-25 ของ WHA มี upside 3.9-15.8% จากการขายที่ดิน 400 ไร่ให้กับผู้ให้บริการ Data centre ระดับโลก ส่วน AMATA จะมี upside 3.6-10.8% จากการขายที่ดิน 300 ไร่ให้กับผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนแบ่งเพิ่มจากเวียดนามจะขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิ
AMATA และ WHA ได้ขยายธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจสาธารณูปโภคไปยังประเทศเวียดนาม โดย AMATA มีโครงการทั้งในปัจจุบันและอนาคตในเวียดนามรวม 7,026 ไร่ ส่วน WHA อยู่ที่ 6,250 ไร่ ขณะที่เราคาดว่ายอดขายที่ดินใหม่ในเวียดนามของ AMATA และ WHA จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-1,125 ไร่ในปี 2024-26 หรือคิดเป็น 24.5-29.4% ของยอดขายที่ดินโดยรวม (vs. 81 ไร่ต่อปีช่วงก่อนโควิดในปี 2013-19) เราจึงเชื่อว่าธุรกิจในเวียดนามจะช่วยเพิ่มยอดขายที่ดินใหม่, รายได้และกำไรสุทธิของ AMATA และ WHA ในปี 2024-26 นำโดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากโครงการใหม่และรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภค นอกจากนี้ กำไรสุทธิจากธุรกิจในเวียดนามน่าจะมีสัดส่วน 27.2% และ 12.3% ของกำไรสุทธิในปี 2026 ของ AMATA และ WHA ตามลำดับ
ยังแนะนำ Overweight; โดยเลือก AMATA เป็น Top pick
เรายังแนะนำ Overweight เพราะกำไรปกติต่อหุ้นคาดจะเติบโตเฉลี่ย 14.7% CAGR ในปี 2024-26 โดยเราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นในปี FY24-26 ของ AMATA 1.1-2% และของ WHA 1.8-3.2% สะท้อนแนวโน้มที่ดีขึ้นของ FDI inflow และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ราคาเป้าหมายตามวิธี SOP ของ AMATA เพิ่มขึ้นเป็น 30.75 บาทหรือเท่ากับ P/E 13.1x ในปี FY25 ส่วนราคาเป้าหมายของ WHA เพิ่มขึ้นเป็น 6.50 บาทหรือเท่ากับ P/E 16.9x ในปี FY25 นอกจากนี้ จากการเปรียบเทียบ AMATA กับ WHA ด้านยอดขายที่ดินใหม่, ที่ดินที่มีอยู่ในมือ, สัดส่วนรายได้ประจำ, GPM, สถานะงบดุล, อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิและการประเมินมูลค่า เรามองว่า AMATA น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพราะมีการประเมินมูลค่าน่าสนใจและกำไรปกติต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าที่ 19% CAGR ในปี 2024-26 ส่วน downside risk จะมาจากความล่าช้าในการส่งมอบที่ดินของรัฐบาลเวียดนามและปัญหาเสถียรภาพการเมืองของไทย ขณะที่ปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนราคาหุ้นคือการที่ผู้ประกอบการมียอดขายที่ดินใหม่และ GPM จากธุรกิจหลักสูงกว่าคาด
FDI ที่แข็งแกร่งน่าจะทำให้ยอดขายที่ดินใหม่ในปี FY24-26 เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากก่อนโควิด
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทยและยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2000-23 มีค่าสหสัมพันธ์ (correlation) สูงถึง 67.3% เราจึงประมาณการว่า FDI จะเพิ่มขึ้นอีก 14.4% yoy ในปี 2024 ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุปสงค์ของที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและน่าจะทำให้ยอดขายที่ดินใหม่ของ AMATA และ WHA เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเฉลี่ย 1,744 ไร่ต่อปีก่อนโควิด-19 ในปี 2013-19 เป็น 4,075 ไร่ในปี 2024, 4,075 ไร่ในปี 2025 และ 3,825 ไร่ในปี 2026 นำโดย FDI inflow จากการย้ายห่วงโซ่อุปทาน
ส่วนแบ่งเพิ่มจากเวียดนามจะขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2024-26
เราเชื่อว่าการขยายโครงการในเวียดนามจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิของ AMATA และ WHA ในปี 2024-26 โดยเราคาดว่ารายได้จากธุรกิจในเวียดนามจะเติบโตแข็งแกร่งในปี 2024-26 จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่ดินใหม่, รายได้ประจำจากธุรกิจสาธารณูปโภคและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจสาธารณูปโภค นอกจากนี้ เราประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจในเวียดนามจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 42.4% ของรายได้รวมในปี 2026 ของ AMATA (vs. 18.8% ในปี 2022) และ 10.8% ของรายได้รวมในปี 2026 ของ WHA (vs. 0.7% ในปี 2022) ขณะเดียวกัน เราประมาณการกำไรสุทธิจากธุรกิจในเวียดนามจะมีสัดส่วน 27.2% ของกำไรสุทธิในปี 2026 ของ AMATA และ 12.3% ของกำไรสุทธิของ WHA
เปรียบเทียบ AMATA กับ WHA
เราทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่าง AMATA กับ WHA ด้านปัจจัยพื้นฐานและการประเมินมูลค่า ซึ่งผลวิเคราะห์ของเราชี้ว่า AMATA น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า WHA เนื่องจาก 1) การประเมินมูลค่าทั้ง P/E, P/BV และส่วนลดต่อ NAV น่าสนใจกว่า, 2) กำไรปกติต่อหุ้นคาดจะเติบโตเฉลี่ย 19% CAGR ในปี 2024-26 เทียบกับ WHA ที่ 12.8% CAGR, 3) ที่ดินในไทยและเวียดนามมากกว่า, 4) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า, 5) ยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2025-26 อาจมี upside จากโครงการ Smart City ในสปป.ลาว ซึ่งเรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ
วิเคราะห์ความอ่อนไหวยอดขายที่ดินล็อตใหญ่ในปี 2024
จากผลการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของ WHA เราเชื่อว่าสถานการณ์ในกรณีที่ 2 มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดคือการขายที่ดิน 400 ไร่ให้กับผู้ให้บริการ Data centre ระดับโลก โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 50% ในปี 2024 และอีก 50% ในปี 2025 ซึ่งกรณีนี้มูลค่ายุติธรรมของ WHA ที่ 6.50 บาทจะเพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 6.77 บาท ขณะเดียวกัน เรามองว่าสำหรับ AMATA สถานการณ์ในกรณีที่ 3 น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดคือการขายที่ดินใหม่รวม 300 ไร่ให้กับผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2024 และน่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดในปี 2025 ซึ่งกรณีนี้มูลค่ายุติธรรมของ AMATA จะเพิ่มขึ้น 3.6% เป็น 31.85 บาท
Amata Corporation
ใกล้ถึงเวลาดี ๆ
ปรับเพิ่มประมาณการยอดขายที่ดินใหม่เป็น 1,700 ไร่ในปี FY24
ระหว่างการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2024 AMATA กล่าวว่าบริษัทยังคงเป้ายอดขายที่ดินใหม่อยู่ที่ 1,800-2,000 ไร่ในปี 2024 ซึ่งรวมยอดขายที่ดินในเวียดนาม 375-437 ไร่ โดย AMATA คาดว่ายอดขายที่ดินใหม่ใน 2Q24 จะเพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy (vs. 325 ไร่ใน 1Q24, 372 ไร่ใน 2Q23) และอุปสงค์ที่ดินในปีนี้จะมาจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, การผลิต, ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นหลัก เราจึงปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ขึ้น 3.0-6.5% เป็น 1,700 ไร่ในปี FY24, 1,650 ไร่ในปี FY25 และ 1,550 ไร่ในปี FY26 สะท้อน FDI ที่ไหลเข้าประเทศไทยและเวียดนามอย่างแข็งแกร่งจากการย้ายห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ขณะที่ตามความเห็นของเรา ยอดขายที่ดินใหม่ในปี FY24 อาจมี upside เพิ่มเติมจากการขายที่ดินแปลงใหญ่ในไทยประมาณ 300 ไร่ให้กับผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งเราคาดว่ายอดขายที่ดินใหม่ในเวียดนามจะเพิ่มขึ้นใน 2H24 เนื่องจากบริษัทได้รับหนังสือแสดงเจตจำนงในการซื้อที่ดิน (LOI) ประมาณ 375-437 ไร่ ซึ่ง 80% มาจากนิคม Amata City Halong ส่วนที่เหลือมาจากนิคม Amata City Long Thanh
Backlog สามารถประกันรายได้จากการขายที่ดิน 92.4% ในปี FY24
AMATA มีที่ดินพร้อมขายจำนวน 2,053 ไร่และมีที่ดินรอการพัฒนาอีก 12,938 ไร่ ณ สิ้น 1Q24 โดยบริษัทเปิดตัวโครงการส่วนขยาย 2 โครงการคือนิคมอมตะซิตี้ ระยอง หนองละลอก หรือนิคมไทย-จีน ระยอง 2 (พื้นที่รวม: 1,547 ไร่) ในปี 2023 และนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี 2 (ACC2) บ้านบึง (พื้นที่: 2,213 ไร่) ใน 1Q24 ซึ่ง AMATA คาดว่า GPM ของ ACC2 จะอยู่ที่ 50% สำหรับโครงการอมตะซิตี้และนิคมไทย-จีนจะอยู่ที่ 45-55% ขณะที่เราเชื่อว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินใน 1Q24 น่าจะเป็นสถิติต่ำสุดของปีนี้ ส่วน AMATA ประมาณการว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินใน 2Q24 จะเพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy เมื่อเทียบกับ 151 ไร่ใน 1Q24 และ 85 ไร่ใน 2Q23 นอกจากนี้ บริษัทให้แนวทางว่าประมาณ 50% ของยอด backlog ในไทยมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2024 ซึ่งจะสามารถประกันรายได้ 92.4% ของประมาณการทั้งปีของเรา
รายได้จากโครงการในเวียดนามน่าจะมีสัดส่วน 42.4% ของรายได้ในปี 2026
เราปรับประมาณการรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคขึ้น 23.6% เป็น 5.63 พันล้านบาทในปี FY24 เพราะรายได้จากการขายไฟฟ้าในเวียดนามสูงกว่าคาด นอกจากนี้ เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจในเวียดนามจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 42.4% ของรายได้รวมของ AMATA ในปี 2026 (vs. 18.8% ในปี 2022) ขณะที่กำไรสุทธิจากธุรกิจในประเทศนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 27.2% ของกำไรสุทธิรวมในปี 2026 (vs. -1.2% ในปี 2022) ดังนั้น ธุรกิจในเวียดนามจึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และกำไรของ AMATA ในปี 2024-26 และในระยะยาว
ยังแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 30.75 บาท
เราปรับประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นในปี FY24-26 ขึ้น 1.1-2% เนื่องจากเราปรับสมมติฐานของ AMATA หลังรายงานผลประกอบการใน 1Q24 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายตามวิธี SOP เพิ่มขึ้นเป็น 30.75 บาทหรือเท่ากับ P/E 13.1x ในปี FY25 หรือ -0.5SD ของ P/E ล่วงหน้าเฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง ขณะที่เรายังแนะนำ “ซื้อ” AMATA เพราะเชื่อว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจะฟื้นตัวในปี FY24-26 และส่วนแบ่งกำไรจะเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ในเวียดนาม ขณะที่ AMATA จะมี downside risk หากรัฐบาลเวียดนามส่งมอบที่ดินล่าช้าและไทยมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุราคาหุ้นคือยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สูงกว่าคาดและยอดขายที่ดินจากโครงการ Smart City ในสปป.ลาว ซึ่งเรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ
WHA Corporation
แนวโน้มทำสถิติใหม่อีกปี
ยอดขายที่ดินใหม่ในปี FY24 อาจมี upside จากการขายที่ดิน 400 ไร่
เราเชื่อว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA อาจมีอุปสงค์แข็งแกร่งนานกว่าที่คาดการณ์เนื่องจากไทยและเวียดนามได้ประโยชน์จากการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเพราะความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการที่สหรัฐปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ขณะที่เรามองว่าประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ที่ 2,375 ไร่ในปี FY24 อาจมี upside เพิ่มเติมจากการขายที่ดิน 400 ไร่ให้กับผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (data centre) ระดับโลก ซึ่ง WHA คาดจะปิดดีลนี้ภายในเดือนก.ค. 2024 ดังนั้น เมื่อรวมที่ดินที่น่าจะขายได้อีก 400 ไร่ ยอดขายที่ดินใหม่ของบริษัทจึงน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,775 ไร่ในปี 2024 หรือสูงกว่า 2,767 ไร่ในปี 2023 เราจึงปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ ขึ้น 7.1-14.1% เป็น 2,425 ไร่ในปี FY25 และ 2,275 ไร่ในปี FY26 นำโดยอุปสงค์ที่แข็งแกร่งเพราะตามแผนงานยังมีที่ดินอีกประมาณ 1,200 ไร่ที่บริษัทเตรียมจะขายให้กับผู้ผลิตยางรถยนต์, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึง Hyperscaler data centre
คาดทำสถิติใหม่ด้วยกำไรปกติ 5.25 พันล้านบาทในปี FY24
เราประมาณการว่า WHA จะมีกำไรปกติต่อหุ้นเติบโต 18.6% yoy เป็น 5.25 พันล้านบาทในปี FY24 จาก backlog ที่สูงถึง 1,087 ไร่ ณ สิ้น 1Q24 รวมถึง GPM จากการขายที่ดิน, รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคและรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจสาธารณูปโภคในเวียดนาม ขณะที่เราคาดว่า 4Q24 จะเป็นไตรมาสที่บริษัททำกำไรสูงสุดในปี 2024 จากการขายสินทรัพย์ขนาด 213k ตรม. มูลค่า 5.29 พันล้านบาทให้กับ REIT ส่วน GPM จากการขายที่ดินน่าจะเพิ่มขึ้นจาก 54.9% ในปี 2023 เป็น 60.1% ในปี 2024 เนื่องจาก WHA ปรับขึ้นราคาขายที่ดิน 10-15% ในปี 2023 แต่ที่ดินที่ซื้อมาเมื่อหลายปีที่แล้วมีต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ เราคาดว่า GPM จากการขายที่ดินในไทยจะอยู่ที่ 61% และเวียดนามอยู่ที่ 56.5% ในปี 2024 ทั้งนี้ WHA ปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย (ASP) 5% เป็น 4.5 ล้านบาทบาท/ไร่ในเดือนก.พ. 2024 และคาดว่าโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่จะมี GPM สูงกว่า 55% (vs. 50-55% ก่อนหน้านี้) เพราะอุปสงค์ที่ดินมีแนวโน้มแข็งแกร่ง
กรีนโลจิสติกส์น่าจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิ
WHA ขยายกิจการด้วยการรุกธุรกิจกรีนโลจิสติกส์ (Green Logistics) ด้วยการจัดหารถEV เพื่อการพาณิชย์ให้เช่าและสถานีชาร์จ โดยบริษัทได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถ EV รวม 176 คันและติดตั้งสถานีชาร์จ 30 แห่ง ณ สิ้น 1Q24 ขณะที่ตั้งงบลงทุนสำหรับธุรกิจกรีนโลจิสติกส์อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าเป็น 1,000 คันและสถานีชาร์จเป็น 120 แห่งภายในสิ้นปี 2024 เราจึงประมาณการว่าธุรกิจนี้จะทำกำไรสุทธิเป็นบวกอย่างน้อย 86 ล้านบาทภายใต้สมมติฐาน EBITDA yield 20%, ต้นทุนเงินทุน 3.2% และอัตราภาษี 20% ซึ่งเรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการปี FY24-26
ยังแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคเป้าหมายขึ้นเป็น 6.50 บาท
เราปรับประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นในปี FY24-26 ขึ้น 1.8-3.2% เนื่องจากเราปรับสมมติฐานยอดขายที่ดินใหม่, รายได้อื่นและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ส่งผลให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 6.50 บาท ซึ่งเท่ากับ P/E 16.9x ในปี FY25 (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 16.8x เนื่องจากธุรกิจนิคมญ มีแนวโน้มสดใสขึ้น) หรือ +0.2SD ของ P/E ล่วงหน้าเฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง ขณะที่เรายังแนะนำ “ซื้อ” WHA เพราะมองว่าอุปสงค์ที่ดินของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังแข็งแกร่งและบริษัทมีรายได้ประจำเพิ่มขึ้น แต่ WHA อาจ downside risk หากการขายสินทรัพย์ให้กับ REIT และการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินล่าช้า ส่วนปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนราคาหุ้นคือการที่ยอดขายที่ดินใหม่และ GPM จากการขายที่ดินสูงกว่าคาด
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon