ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. บีซีพีจี หรือ BCPG ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้า โดยนายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมงบลงทุนราว 5,000-10,000 ล้านบาทสำหรับซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน (M&A) และการลงทุนใหม่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยมีการเจรจาอยู่หลายโครงไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม และโซลาร์ฟาร์ม ทั้งในเวียดนาม ลาว และ ออสเตรเลียเพื่อผลักดันให้กำไรสุทธิในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในอินโดนีเซีย ที่บริษัทถือหุ้นอยู่บางส่วน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 โรงขยายกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 180 เมกะวัตต์ ยังอยู่ระหว่างศึกษาที่จะขยายกำลังการผลิตโรงที่ 1 ในเฟสที่ 2 และ 3 โดยอยู่ระหว่างสำรวจปริมาณเชื้อเพลิงเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้า เบื้องต้นคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ราว 60-100 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้เร็ว ๆ นี้
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส2/61 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนมีปริมาณแดดที่ดีทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าดีขึ้นจึงคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตดีกว่าไตรมาส1/61 ขณะที่ภาพรวมทั้งปีมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะเติบโตดีกว่าปี 2560 เนื่องจากมีกำลังผลิตไฟฟ้าจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) มากขึ้นและบางโครงการที่COD ปีก่อนจะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้
นอกจากนี้ในไตรมาส 3/61 จะรับรู้รายได้จากการเริ่มผลิตไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการ (โซลาร์ราชการ) กับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่บริษัทเป็นผู้ร่วมลงทุน จำนวน 2 โครงการ รวมกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ที่ได้เริ่ม COD แล้วในเดือน ก.ค.นี้
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือราว 600 เมกะวัตต์ ซึ่งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้วกว่า 500 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งในญี่ปุ่น, ไทย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยในส่วนนี้เป็นโครงการในญี่ปุ่นราว 100 เมกะวัตต์คาดว่าจะ COD ได้ครบทั้งหมด 600 เมกะวัตต์ภายในปี 62
นอกจากนี้แล้วในช่วงไตรมาส 3/61 คาดว่าจะรับรู้กำไรจากการขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Nikaho และ Nagi ขนาดกำลังผลิตรวม 27.6 เมกะวัตต์ (MW) ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าราว 3,185 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสนี้