นักลงทุนมาเลเซียส่วนใหญ่ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น Neutral จาก Underweight

14

มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ได้เดินทางไปพบลูกค้าที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย. 67 ทั้งนี้พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นไทยเชิงบวกมากขึ้น เมื่อเทียบกับครั้งก่อนหน้านี้ที่เดินทางไปพบลูกค้าเมื่อช่วงเดือนมิ.ย.67 ที่ผ่านมา

โดยในครั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ “คงน้ำหนักการลงทุน” (Neutral) ในตลาดหุ้นไทย จากเดิมที่ในเดือนมิ.ย.67 “ลดน้ำหนักการลงทุน” (Underweight) สำหรับประเด็นหลักที่ลูกค้าให้ความสนใจคือ เรื่องกองทุนรวมวายุภักษ์, สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex), ความไม่แน่นอนทางการเมือง และหุ้นที่ควรซื้อ

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภคและกลุ่มการแพทย์ ในขณะที่ลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ฯเชื่อว่าการที่เงินลงทุนจากต่างประเทศทยอยไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการรีบาวด์และเงินบาทที่แข็งค่า น่าจะทำให้กลุ่มธนาคารปรับตัวดีขึ้น จากสภาพคล่องของกลุ่มและจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.จนถึงขณะนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยมูลค่า 3.1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในกลุ่มธนาคารราว 2.1 หมื่นล้านบาท ส่วนกลุ่มการแพทย์และกลุ่มพาณิชย์มีเงินลงทุนเข้ามา 8 พันล้านบาท และ 3 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นในกลุ่มพลังงาน, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นในกลุ่มไอซีที, กลุ่มอาหาร, กลุ่มการแพทย์และกลุ่มธนาคาร ขณะที่ขายหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ, กลุ่มพลังงานและกลุ่มขนส่ง
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ระบุว่า เงินบาทไทยเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่อ่อนค่าลงมากที่สุดในช่วงต้นปี 67 ก่อนจะกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/67 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ยกเว้นริงกิตมาเลเซีย ดังนั้นเงินบาทจึงมีความผันผวนสูงกว่าสกุลเงินของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค จึงเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 16 ต.ค. 67

การที่เงินบาทไทยมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้หุ้นที่เน้นธุรกิจในประเทศหรือ Domestic play ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหุ้นที่มีธุรกิจในต่างประเทศหรือ External exposure เช่น ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้นจึงเน้นลงทุนในกลุ่มอุปโภคบริโภค, กลุ่มธนาคาร และหุ้นปลอดภัย (defensive) ที่ยัง underperform รวมถึงหุ้นที่มีคะแนน ESG สูง เพราะน่าจะเป็นหุ้นที่เข้ามาอยู่ในเรดาร์ของกองทุนรวมวายุภักษ์

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ไทยและสหรัฐฯมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นอีกในปี 67-68 จึงมองเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,630 จุด เท่ากับ P/E 16 เท่าในปี 68 หรือ -0.75SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ส่วนหุ้น Top pick ประกอบด้วย AMATA, BBL, BCH, CBG, CPALL, CPN, CRC, KBANK, KLINIQ, PTTEP และ SIRI

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon