ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.เอสซีไอ อีเลคตริค หรือ SCI โดยนายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/61 เริ่มมีโอกาสผลการดำเนินงานฟื้นตัวจากไตรมาสแรกที่ขาดทุนสุทธิ 23.19 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10% จากไตรมาสแรกอยู่ที่ 9.47% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายเสาส่งสายไฟฟ้าแรงสูงและเสาสื่อสารโทรคมนาคมที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเริ่มรับรู้กำไรจากธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป บริษัท ทียูทิลิตี้ส จำกัด หรือ TU ที่ถือหุ้นสัดส่วน 45% ซึ่งคาดรายทั้งปีเติบโตราว 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,678.29 ล้านบาท
ล่าสุด บริษัทได้ขยายการลงทุนโรงงานผลิตเสาส่งสายไฟฟ้าแรงสูงและเสาสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศเมียนมา มูลค่าเงินลงทุน 660 ล้านบาท มีขนาดกำลังการผลิตเสาและโครงสร้างเหล็ก 7,500 ตัน/ปี และโรงชุบสังกะสีกำลังการผลิต 24,000 ตัน/ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานเสาส่งของโรงไฟฟ้าเอกชนในเมียนมา “โครงการคันบก” ระยะทาง 450 กิโลเมตร หรือประมาณ 45,000 ตัน คาดมีโอกาสได้รับงานผลิตจำนวน 20,000 ตัน และเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ต้นปี 2562 กำหนดระยะเวลาส่งมอบงานต่อเนื่อง 3 ปี โดยบริษัทคาดหวังรายได้จากธุรกิจในเมียนมาปีนี้ไว้ราว 450 – 500 ล้านบาท
ขณะที่โครงการโซลาร์รูฟท็อปของ TU ปีนี้ตั้งเป้าเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ หรือ COD ครบ 7 เมกกะวัตต์ และให้อัตราผลตอบแทน (IRR) ประมาณ 12% โดยเตรียมเซ็นสัญญาเพิ่มอีกจำนวน 3 เมกกะวัตต์ ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากที่เซ็นสัญญาไปแล้ว 4 เมกกะวัตต์ ติดตั้งแล้ว 2 เมกกะวัตต์ และกำลังจะติดตั้งอีก 2 เมกกะวัตต์ โดยบริษัทคาด TU จะเริ่มมีกำไรภายในปี 2562
ส่วนมูลค่างานในมือของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 100 – 200 ล้านบาท คาดจะรับรู้ได้ทั้งหมดในช่วงไตรมาส 3/61 และอยู่ระหว่างเตรียมประมูลงานเสาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 2 โครงการ เพื่อสนับสนุนแบ็กล็อกเข้ามาเพิ่ม
อีกทั้งในช่วงปลายปี 61 บริษัท TU มีแผนเข้าประมูลโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำในภาคใต้ของไทย มูลค่าโครงการกว่า 600 ล้านบาท โดยภาครัฐจะช่วยลงทุนในส่วนของท่อรับส่งน้ำ และบริษัทจะลงทุนก่อสร้างโรงงานและวางระบบท่อทั้งหมด ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี และคาดจะรับรู้รายได้เข้ามาภายในปี 2563
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 2562 บริษัทคาดรายได้เติบโตแตะระดับ 2,200-2,300 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 15-20% จากปริมาณงานในประเทศและต่างประเทศที่ทยอยเข้ามามากขึ้น โดยบริษัทมีแผนเจรจากับพันธมิตรที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในเวียดนาม เพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม และโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งจะลงทุนผ่าน TU และมีแผนขยายการลงทุนโครงการเสาส่งไฟฟ้าและเสาสัญญาณในประเทศกัมพูชา โดยบริษัทจะเป็นผู้เข้าไปลงทุนเอง ซึ่งทั้งหมดคาดได้ข้อสรุปภายในปีหน้า
ขณะที่ก่อนหน้านี้ที่บริษัทได้เข้าไปเป็นผู้รับเหมางานโครงการเสาไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 KV ในประเทศลาว ซึ่งหลังจากบริษัทได้มีการเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว โครงการดังกล่าวได้มีการชะลอการลงทุน โดยทางรัฐบาลลาวได้มีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น คาดจะสามารถผลักดันโครงการนี้ให้ดำเนินการต่อไปได้ แล้วเสร็จทันโรงไฟฟ้าจะเริ่มจ่ายไฟในปี 2562-2563 ตามกำหนด