มิติหุ้น – นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยผลการดำเนินไตรมาส 3/2567 ว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 1,375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 429% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า โดยนับเป็นไตรมาสที่มีรายได้จากการให้บริการสูงสุดในรอบปี ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 429% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า แม้ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยการเติบโตมาจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจ “บริการขนส่งสินค้าทางทะเล” (Sea Freight) ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ โดยเฉพาะดีมานด์ในเส้นทางสหรัฐอเมริกาและยุโรป และการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ส่งผลให้บริษัทฯ มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลในไตรมาส 3/2567 กว่า 11,000 ตู้ และก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการ Sea Freight ในเส้นทางไทย-สหรัฐฯ เป็นอันดับ 2 ของโลก และยังคงครองอันดับ 1 ผู้ให้บริการธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทย
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ “บริการให้เช่าคลังสินค้า” มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยเกือบเต็ม 100% จากพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้า 2 แห่งรวมประมาณ 20,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 70% ส่วนกลุ่มธุรกิจ “บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ” (Air Freight) และกลุ่มธุรกิจ “บริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์” มีรายได้อยู่ในระดับที่ดี นอกจากนี้ ยังได้รับผลดีจากค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการให้บริการรวม 2,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 120% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกดังกล่าว อยู่ในระดับเดียวกับกำไรสุทธิทั้งปี 2566 ที่ทำได้ 53 ล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-ตุลาคม) บริษัทฯ มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลแล้วกว่า 43,200 ตู้ จึงคาดว่าทั้งปี 2567 จะทำได้ถึง 53,000 ตู้ตามเป้าหมาย โดยแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2567 จะได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลและทางอากาศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จากการเร่งขนส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ให้ทันก่อนถึงช่วงวันหยุดปลายเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ค่าระวางเรือมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีก 10-20% ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ ส่วนกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีนโยบายปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนนั้น มองว่าจะเป็นผลเชิงบวกต่อธุรกิจของบริษัทฯ เนื่องจากคาดว่าจะมีดีมานด์การนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจากฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น ไทย, เวียดนาม เพื่อทดแทนการนำเข้าจากประเทศจีนโดยตรง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รุกขยายฐานธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ในมาเลซียจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศมาเลเซียเพื่อรองรับการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในเวียดนามร่วมกับพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น เพื่อรองรับการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 2 ของโลก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ยางล้อ, อาหาร โดยคาดว่าจะมีปริมาณการขนส่งสินค้าในช่วงแรกประมาณ 1,000 ตู้ต่อเดือน
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมทำสัญญาขยายคลังสินค้าให้เช่าอีก 20,000 ตารางเมตร ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการภายในเดือนมกราคม 2568 เพื่อตอบสนองความต้องการจัดเก็บสินค้าที่เพิ่มขึ้น หลังจากผู้ประกอบการจีนได้ย้ายฐานการผลิตมาไทยค่อนข้างมาก รวมถึงมีแผนขยายธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อเพิ่มศักยภาพให้บริการอย่างครบวงจร
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon