มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสาน โดย S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดในแดนบวก ในขณะที่ ดัชนี DJIA ร่วงลงมาเล็กน้อย หลังจากปรับตัวขึ้นในช่วงแรก โดยมีแรงสนับสนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มผู้ผลิตชิป (Micron Technology +10.5%, Nvidia +3.4%, AMD +3.3%) หลัง บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลกอย่าง Foxconn เปิดเผยรายได้ 4Q24 ออกมาแข็งแกร่ง เนื่องมาจากการเติบโตของ AI
นอกจากนี้ ตลาดยังมีแรงซื้อในหุ้นบริษัทผลิตรถยนต์ (General Motor +3.4%) หลังมีรายงานว่าทรัมป์เตรียมพิจารณาแก้นโยบายภาษีศุลกากร โดยจะเปลี่ยนไปมุ่งเน้นที่สินค้าและบริการบางประเภทในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อสหรัฐเท่านั้น ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้ว่าทรัมป์จะออกมาปฏิเสธในภายหลังก็ตาม รายงานข่าวนี้ยังสนับสนุนให้ตลาดหุ้นยุโรปมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นปิดบวกเช่นกัน
ด้านบอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปี ที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน แตะเหนือระดับ 4.6% และ แนวโน้มที่ Fed จะชะลอการลดดอกเบี้ย กดดันให้ราคาทองคำร่วงลงมา 0.3%
ติดตามความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของทรัมป์ซึ่งจะเข้าสู่พิธีสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค. นี้ หลังสภาคองเกรสรับรองผลชนะการเลือกตั้งและเริ่มต้นการถ่ายโอนอำนาจไปอย่างสันติ และ ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed
โดยวันนี้จะมีการรายงานตัวเลขดัชนี PMI ภาคการบริการจาก ISM เดือนธ.ค. และ ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTS เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ รวมถึงรายงานข้อมูลเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของยูโรโซน
ความเคลื่อนไหวอื่นตลาดหุ้นภูมิภาค ได้แก่ 1) อินโดนีเซียได้รับการรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เป็นสมาชิกรายใหม่อย่างเป็นทางการของ BRICS ที่ไทยมีสถานะเป็นประเทศหุ้นส่วนพันธมิตรอยู่ และ 2) สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส HMPV ซึ่งเป็นกลุ่มโรคเดียวกับเชื้อไวรัส RSV โดยล่าสุดยกระดับมาตรการฉุกเฉินแล้วในจีน รวมถึงพบผู้ป่วย 2 รายในอินเดียและกดดันให้ดัชนี Sensex ร่วงลงกว่า 1,100 จุด
• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะยังคงแกว่ง Sideway ในกรอบ 1,360-1,380 จุด และ มองว่า SET จะไม่หลุดบริเวณ 1,350 จุด หลังดอลลาร์อ่อนค่าลง
ปัจจัยลบเศรษฐกิจ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเดือนธ.ค. เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.) ยังคงขยายตัว 1.2% yoy แต่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และ ขยายตัวทั้งปีที่ 0.4% yoy
สำหรับประเด็นอื่นๆ ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการต่อการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (margin loan) ทั้งการปรับปรุงอัตรา Margin ป้องกันความเสี่ยงต่อหลักประกันไม่เพียงพอ และกำหนดสัดส่วนการกระจุกตัวในหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน รวมถึงให้บล. คุมความเสี่ยงด้านเครดิต หามาตรการดูแลการกู้ยืมเงินผ่านบัญชีมาร์จิ้น
เรายังแนะนำการเข้าสะสมในหุ้นกลุ่ม Defensive ท่ามกลางแรงกดดันกรณีการไถ่ถอนกองทุน LTF แรงซื้อขายหุ้นเฉพาะตัวตามปัจจัย และ ความไม่แน่นอนของ Global Factor อาทิ นโยบายของทรัมป์, FED, ค่าเงินดอลลาร์, Financial flow และ Policy space ที่เรามองว่า ธปท. จะพิจารณาประเด็นเหล่านี้เป็นหลักในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดยเรามองว่าธปท. จะมีมติปรับลดลง 1 ครั้ง ในช่วง 2Q25
• หุ้นแนะนำ
BCH : เราเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันน่าจะสะท้อนความกังวลในหลายเรื่องทั้งการที่ผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการล่าช้าและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ของสปส. สำหรับการรักษาผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adj. RW>2) แล้ว
(Take profit : 16.1 / Stop loss : 14.8)
PIN : เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรปกติต่อหุ้นเติบโตแข็งแกร่งในอัตรา 13.2% CAGR ในปี 2024-27 และการประเมินมูลค่ายังน่าสนใจ ส่วนราคาเป้าหมายที่ 9.10 บาท คำนวณจาก P/E 5.3x ในปี FY26 หรือ +0.2SD ของ P/E ล่วงหน้าเฉลี่ยย้อนหลังสามปี เราจึงแนะนำให้สะสมหุ้นก่อนที่ PIN จะเปิดโครงการ IE ใหม่และขยายพื้นที่ PIN 3 ในปี 2025-26
(Take profit : 6.20 / Stop loss : 5.75)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon