Pi Daily ลุ้นการฟื้นตัวหลังวานนี้ DELTA ปรับลงมาสะท้อนมุมมองการคำนวนดัชนีแบบใหม่ ขณะที่ US Bond Yield กลับมาปรับลงเป็นอีกปัจจัยหนุน

16

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 317 จุด (+0.71%) ขณะที่ S&P500 , Nasdaq ปิดในแดนบวกเช่นกันหลังจากนักลงทุนมองข้ามผลประกอบการและคาดหวังกับการลดดอกเบี้ยของ FED ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2% หลังจากสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงาน 2 ตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย (1) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการที่จัดทำโดยสถาบัน ISM ที่ระดับ 52.8 ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 54.2 (2) การจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ที่ 1.83 แสนรายดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 1.48 แสนราย แต่เหมือนว่านักลงทุนจะให้น้ำหนักในทางผ่อนคลายมากกว่า สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลงอย่างมีนัยยะในรุ่นอายุ 10 ปี และทำให้เช้านี้เงินบาทกลับมาแข็งค่าทดสอบ 33.5 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ จากก่อนหน้าที่ระดับ 34 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทย สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับลง 14.3 จุด (-1.1%) แต่แรงกดดันหลักๆมาจาก DELTA ที่มีผลต่อดัชนีมากถึง 8.5 จุด หลังมีรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ถึงวิธีปรับเกณฑ์ในการคำนวณดัชนี SET50 / SET100 ด้วยการจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายดัชนี SET50 , SET100 ที่ระดับ 10% จากการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์พบว่าสามารถลดอิทธิพลของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ยังคงรักษาโครงสร้างและความสามารถในการสะท้อนภาพรวมตลาดไว้ได้

จึงทำให้เกิดแรงขายบางส่วนออกมาใน DELTA แต่ปัจจัยข้างต้นไม่มีผลในเชิงพื้นฐานของ DELTA ส่วนอีกแรงกดดันมาจาก CPALL ที่อาจเป็นปัจจัยเฉพาะจากความไม่ชัดเจนการเข้าลงทุนในกิจการต่างประเทศ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามดัชนี ณ ระดับ 1286 ยังเป็นจุดที่ Valuation ไม่แพง หากประเมินที่ Forward PE อยู่ระดับ 13.4x และ PE 26 ที่ 12.4x แม้จะมีความเสี่ยงสงครามการค้าแต่ผลกระทบอย่างมีนัยยะต่อเศรษฐกิจไทยหรือกำไรบริษัทจดทะเบียนก็ยังจำกัด และเชื่อว่า Trump ยังไม่เร่งร้อนในการพิจารณาภาษีต่อประเทศไทยเพราะเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าลำดับท้ายๆของสหรัฐฯ ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.14 แสนรายและเช้านี้รอติดตามเงินเฟ้อไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.3%YoY เร่งตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.2%YoY และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 0.8%YoY ทรงตัวเทียบกับเดือนก่อน วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1280 – 1300 น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้บ้างหลัง DELTA สะท้อนการปรับดัชนีไปบ้างแล้วและบรรยากาศตลาดหุ้นต่างประเทศก็เริ่มดูดีขึ้น (Nikkei +0.8%) ผสานกับ Bond Yield ที่ปรับลง ดังนั้นเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยสะสมเช่นเดิม แต่เน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ส่งออก (ITC TU) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK CREDIT) ศูนย์การค้า (CPN) การเงิน (MTC SAWAD)

BBIK (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท)
คาดว่า BBIK ทำกำไรงวด 4Q24 ที่ 106 ล้านบาท (+31%YoY, +20%QoQ) ปรับตัวขึ้นตามปัจจัยทางฤดูกาลกำไรของ 2H มากกว่า 1H จากทั้งการประหยัดต่อขนาดและสัดส่วนการรับรู้กำไรในหน่วยธุรกิจที่มีกำไรดีกว่า ส่วนแบ่งกำไรจาก JV ทรงตัว เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในปี 2025 เนื่องจาก 1)การเร่งเพิ่มสัดส่วนรายได้ภาครัฐ 2) การทำโปรเจ็ค Virtual Bank

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 53.00 บาท)
ด้วยความต้องสินเชื่อขยายตัวแข็งแกร่ง กอปรกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีทำให้ MTC มีความสามารถการทำกำไรที่แข็งแกร่ง เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2024-26 จะเติบโตแข็งแกร่ง 17.8% CAGR และ ROE เพิ่มขึ้นจาก 16.1% ในปี 2023 เป็น 17.0-17.1% ในปี 2024-26 ด้านผลการดำเนินงานใน 4Q24 เราคาดกำไรสุทธิที่ 1.5 พันล้านบาท (+12.7% YoY, 2.1% QoQ)

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon