Pi Daily ตลาดหุ้นไทยปรับลงหลักๆยังเชื่อว่าจากแรงขาย LTF แต่มาผสานกับช่วงที่สภาพคล่องต่ำ (สะท้อนผ่านมูลค่าซื้อขายที่ลดลง) แต่ปัจจัยพื้นฐานยังปกติ ยังมองเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว

14

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 125 จุด (-0.28%) การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเพราะตอบรับกับผลประกอบการ โดยนักลงทุนอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.43% หลังจาก Trump ระบุว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ระดับ 2.19 แสนราย ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.14 แสนราย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทรงตัว พร้อมกับ Dollar Index ที่ค่อนข้างนิ่งๆ แต่ทั้งนี้ปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่าอาจเป็นตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะวานนี้ที่ปรับลงทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่ พ.ย. 20 ซึ่งค่อนข้างผิดปกติหากพิจารณารายประเทศพบว่า SET (-10% YTD) Dow Jones +5.2%YTD Hang Seng +4.1%YTD ซึ่งนับว่าเป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนแย่สุด ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมก็คือว่า YTD นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2.2 พันล้านบาท โดยเฉพาะวานนี้ขายมากถึง 1.6 พันล้านบาท พร้อมกับมีรายงานเพิ่มเติมจากสมาคมจัดการลงทุนที่ระบุว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน LTF อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท (-14.3% จากปลายปี 24) สะท้อนถึงการขายสุทธิของจากกองทุน มีข้อมูลระบุว่าในเดือน ม.ค. กองทุน LTF ขายออกมาเป็นมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใกล้เคียงกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ลดลง 3.1 หมื่นล้านบาทที่นับตั้งแต่ปลายปี 24 แต่บางส่วนที่มากกว่าเกิดจากราคาหุ้นที่ลดลง

ดังนั้นจึงเชื่อว่าการปรับลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากแรงขายกองทุนเป็นหลักจากการไถ่ถอนหน่วยลงทุน สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้านเศรษฐกิจไทยอิง Bloomberg Consensus ก็ยังประเมินว่าจะขยายตัวได้ 3%YoY และยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเพราะโอกาสอยู่ที่เพียง 10% ด้านปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยจะพบว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนผ่านตัว SET EPS จาก Bloomberg Consensus ก็ยังคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 96.7 บาท / หุ้นถูกปรับลงเล็กน้อยจากต้นปี 25 ที่ 98.3 บาท / หุ้น ด้าน Valuation นั้นไม่ว่าจะอิงมาตรวัดแบบใดก็ชี้ว่าตลาดหุ้นไทยถูก หากพิจารณารูปด้านขวาล่างจะพบว่าปรับขึ้นมาเกือบจะทดสอบระดับ +2SD ซึ่งระดับดังกล่าวมักเกิดขึ้นเฉพาะช่วงวิกฤต ดังนั้นท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานที่ปกติพร้อมกับหุ้นที่ปรับลงจากสภาพคล่องที่หายไป อาจเป็นโอกาสเข้าสะสม วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1250 – 1270 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยสะสมเช่นเดิมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง – ยาว แต่เน้นที่หุ้นพื้นฐานดีและมีแนวโน้มเติบโตได้ในอนาคต อาทิ ค้าปลีก (CRC HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ส่งออก (ITC TU) นิคมอุตสาหกรรม (WHA) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯและอัตราการว่างงาน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.69 แสนรายและ 4.1% ตามลำดับ

BBIK (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท)
คาดว่า BBIK ทำกำไรงวด 4Q24 ที่ 106 ล้านบาท (+31%YoY, +20%QoQ) ปรับตัวขึ้นตามปัจจัยทางฤดูกาลกำไรของ 2H มากกว่า 1H จากทั้งการประหยัดต่อขนาดและสัดส่วนการรับรู้กำไรในหน่วยธุรกิจที่มีกำไรดีกว่า ส่วนแบ่งกำไรจาก JV ทรงตัว เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในปี 2025 เนื่องจาก 1)การเร่งเพิ่มสัดส่วนรายได้ภาครัฐ 2) การทำโปรเจ็ค Virtual Bank

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 53.00 บาท)
ด้วยความต้องสินเชื่อขยายตัวแข็งแกร่ง กอปรกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีทำให้ MTC มีความสามารถการทำกำไรที่แข็งแกร่ง เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2024-26 จะเติบโตแข็งแกร่ง 17.8% CAGR และ ROE เพิ่มขึ้นจาก 16.1% ในปี 2023 เป็น 17.0-17.1% ในปี 2024-26 ด้านผลการดำเนินงานใน 4Q24 เราคาดกำไรสุทธิที่ 1.5 พันล้านบาท (+12.7% YoY, 2.1% QoQ)

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon