CGSI : Trend Spotter

13

มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเมื่อวานนี้ (17 ก.พ.) เนื่องในวันประธานาธิบดี

วันนี้ติดตามรมต. ต่างประเทศสหรัฐเยือนซาอุฯ เพื่อหารือกับคณะผู้แทนรัสเซีย ต่อแผนสันติภาพยูเครน ซึ่งหากบรรลุการเจรจา จะส่งผลให้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐสิ้นสุดลง อุปทานน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างราคาทองคำอาจปรับตัวลดลง ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของทรัมป์, เงินเฟ้อในสหรัฐ และดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในช่วงนี้หลัง Reciprocal Tariffs ยังไม่มีผลบังคับใช้

การที่ทรัมป์พยายามผลักดันให้ประเทศสมาชิก NATO เพิ่มงบประมาณกลาโหมสำหรับเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันทวีปยุโรป เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากสหรัฐฯ สอดคล้องกับท่าทีล่าสุดจากประชาคมยุโรป (EC) ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในยุโรป รวมถึงอังกฤษปรับตัวเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้ดัชนี STOXX600 ยังคง Outperform ปิดทำนิวไฮต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นลอนดอน โดยดัชนี FTSE100 ปิดบวก ท่ามกลางเงินปอนด์ที่แข็งค่าทำนิวไฮในรอบ 2 เดือนระหว่างวัน จากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของอังกฤษออกมาแข็งแกร่ง ติดตามการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของอังกฤษวันพรุ่งนี้ (19 ก.พ.)

• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะรีบาวด์ขึ้นมาบริเวณ 1,250-1,265 จุด แม้ว่าจะเผชิญแรงขาย DELTA (-23.5%) กดดันดัชนี SET ร่วงลงกว่า 15 จุดเมื่อวานนี้ (17 ก.พ.) อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากกลุ่ม Real Sector ที่ปรับตัวบวกขึ้นได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยืนเหนือ 1,250 จุดได้

โดยเมื่อวานนี้ (17 ก.พ.) เป็นวันสุดท้ายของการเปิดเฮียริ่งปรับเกณฑ์ Capped Weight ลดน้ำหนักหุ้นรายตัว ใช้คำนวณกับ SET50 และ SET100 ที่ตลาดคาดว่าจะเริ่มใช้กลางปีนี้ เพื่อช่วยลดความผันผวนของตลาดหุ้นไทย

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ แม้ว่าการเติบโตของ GDP ไทยใน 4Q24 ที่ 3.2% yoy ซึ่งต่ำกว่าที่เรา/ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมถึงเราได้ปรับลดการคาดการณ์ GDP ใน 2025F ลงเหลือ 2.5% yoy (vs. จากเดิมคาดที่ 3%) เนื่องจากการแจกเงินหมื่นเฟส 1 ไม่ได้ช่วยกระตุ้นการบริโภคมากเท่าที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าตลาดมองข้ามผลกระทบจากประเด็นนี้ไปแล้วหลังได้มีการปรับประมาณการณ์ GDP ลงมาในปีนี้พอสมควร (เฉลี่ย 2.4% ถึง 2.9%)

ในที่ประชุมนักวิเคราะห์ของ DELTA DELTA เผชิญแรงกดดันใน 4Q24 จากต้นทุนและผลกระทบ FX อีกทั้ง MSBU ประสบปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลต่อต้นทุนขาย นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายจากลิขสิทธิ์และ R&D
ขณะที่การเติบโตของยอดขายโดยรวมในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ระดับกลาง 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 25%

• หุ้นแนะนำ
SCB : SCB มีกำไรสุทธิใน 4Q24 สูงกว่าประมาณของเรา 10.4% จากอัตราการสำรองหนี้สูญต่ำกว่าคาด และเราเชื่อว่า SCB จะสามารถคงอัตราการจ่ายเงินปันผลไว้สูงถึง 80% เนื่องจากมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งและท่ามกลางบรรยากาศที่สินเชื่อที่อัตราการขยายตัวช้าในปี 2025-26
(Take profit : 126.5 / Stop loss : 120.5)

STECON : ราคาหุ้น STECON ลดลง 45% YTD vs. ดัชนี SET ที่ -9% โดยเราเชื่อว่ามุมมองเชิงลบของตลาดต่อผลการดำเนินงานส่วนใหญ่ได้ถูกสะท้อนไปแล้ว ดังนั้น เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากปริมาณ backlog ที่มีของบริษัท จะช่วยให้มีกำไรเติบโตได้อีกในไม่กี่ปีข้างหน้า
(Take profit : 4.68 / Stop loss : 3.84)

#MacroWealthResearch
#CGSInternational

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon