มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 188 จุด (-0.4%) ส่วน S&P500 , Nasdaq ปิดในแดนบวกเพราะนักลงทุนคาดหวังกับผลประกอบการ NVIDIA (เช้านี้รายงานแล้ว) ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.67% หลังสหรัฐฯเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น
เมื่อคืนที่ผ่านสหรัฐฯรายงานยอดขายบ้านหลังแรกที่ 6.57 แสนรายแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 6.79 แสนราย แต่สต็อกน้ำมันดิบลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.5 ล้านบาร์เรล ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ย่ำแย่ทำให้ US Bond Yield ปรับลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาดหุ้นฝั่งเกิดใหม่ ขณะที่เช้านี้ตามเวลาประเทศไทย NVIDIA ได้รายงานผลประกอบการ Q4FY25 พบว่ารายได้อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+12%QoQ +78%YoY) ดีกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.8% และกำไรสุทธิที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+14%QoQ +82%YoY) ดีกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ 5% อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 73% จาก Q4FY24 ที่ 76% หากดูราคา NVIDIA ตลาดล่วงหน้าพบว่านิ่งๆอยู่ที่ 130 ดอลลาร์สหรัฐฯ / หุ้น (-0.87%) หรือบ่งชี้ว่าตลาดดูไม่ตอบรับเชิงบวกเท่าใดนัก อย่างไรก็ตามรอติดตามคืนนี้ช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาเปิดทำการอีกที
ด้านปัจจัยในประเทศเริ่มเข้มข้นจากการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นไปตามที่เราประเมินไว้แต่อาจจะผิดจากที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ถ้อยแถลงภายในระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากภาคผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันสินค้าจากต่างประเทศรวมไปถึงความเสี่ยงสูงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าจะมีแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในและการท่องเที่ยว คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงิน สถิติที่ผ่านมาการปรับลดดอกเบี้ยที่เหนือกว่าคาดหมายของตลาดพบว่า SET INDEX ปรับขึ้นในวันดังกล่าว 1.3% และวันถัดไปปรับขึ้นอีก 0.67% เมื่อประกอบกับ SET INDEX ที่อยู่โซนล่าง (ปัจจุบัน) พร้อมกับผลประกอบการที่บางตัวรายงานดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ อย่างวานนี้ประกอบไปด้วย CPF CENTEL M จะเป็นจิตวิทยาเชิงบวกสนับสนุนหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยกดดันก่อนหน้าก็มองสะท้อนไปในราคามากแล้วจึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะค่อยๆปรับขึ้น โดยความเสี่ยงจากนี้อาจเป็นเรื่องต่างประเทศมากกว่าโดยเฉพาะสงครามการค้า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยประกอบไปด้วย การเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) อสังหาฯ (AP SPALI) หุ้นที่มีภาระหนี้สูง (CPALL MINT) ท่องเที่ยวและส่งออก (AOT CENTEL MINT TU) อย่างไรก็ตามจะเป็นลบกับหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ วานนี้กลุ่ม Bank ปรับลง 1.2% วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1220 – 1240 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยสะสมได้เช่นเดิมเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคายังไม่ขยับขึ้นมากนัก อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ท่องเที่ยว (CENTEL) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) การเงิน (MTC SAWAD) อสังหาฯ (AP SPALI) นิคมอุตสาหกรรม (WHA)
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 7.2 พันล้านบาท (+31%YoY) หลังตัดรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.9 พันล้านบาท (+23%YoY, +24%QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด หนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ (7-Eleven) ที่ +4.0% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 1Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks รวมถึงสินค้าใหม่ๆจาก SME เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลที่ CPALL อาจเข้าลงทุนในบริษัท Seven & I เป็นโอกาสในการเข้าสะสม
TIDLOR (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 19.30 บาท)
ผลการดำเนินงานใน 4Q24 ออกมาแข็งแกร่ง และงบดุลดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิที่ 1 พันล้านบาท (+15.9% YoY, +5.4% QoQ) ด้าน NPL ratio ลดลงที่ 1.8% และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 242.7% ทั้งนี้ เรามีความเห็นสอดคล้องในเชิงกลยุทธิกับ TIDLOR เรื่องการเติบโตอย่างมีคุณภาพในปี 2025 เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน ขณะที่ต้นทุนการเงินมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องใน 1H25 ทำให้มีแรงกดดันต่อ NIM สูงกว่าที่คาดไว้ เราได้ปรับลดคาดการกำไรสุทธิลง แต่ยังคงคาดว่ากำไรสุทธิจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง 10.8%/11.8% ในปี 2025-26
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon