มิติหุ้น – DAOL SECURITIES (THAILAND) PUBLID COMPANY LIMITED
4Q24 ฟื้น QoQ ตามคาดจาก high season และปริมาณวัตถุดิบมากขึ้น
เราคงคำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 5.50 บาท อิง 2025E PER 6x (5-yr average) NER รายงาน กำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 359 ล้านบาท (-22% YoY, -0.4% QoQ) ขณะที่กำไรปกติ (ไม่รวมขาดทุน Fx) อยู่ที่ 484 ล้านบาท (+13% YoY, +119% QoQ) ใกล้เคียงตลาดและเราคาด กำไรปกติขยายตัว YoY หนุน โดยราคาขายสูงขึ้น +27% YoY ตามทิศทางราคายางในตลาด และ SG&A ปรับตัวลงตามสัดส่วนการ ส่งออก แต่ปัจจัยเหล่านี้ถูก offset บางส่วนจาก GPM ลดลง -250bps เป็นผลจากต้นทุนยางสูงขึ้น ซึ่ง บริษัทบันทึกโดยวิธีถัวเฉลี่ย ขณะที่กำไรปกติฟื้นตัวสูง QoQ หนุนโดยปริมาณขายขยายตัว +39% QoQ จาก high season และสถานการณ์วัตถุดิบและภัยแล้งทยอยคลี่คลาย
เราคงกำไรปกติปี 2025E ที่ 1.7 พันล้านบาท (+4% YoY) สาหรับ 1Q25E เบื้องต้นคาดการณ์กำ ไร ปกติมีแนวโน้มชะลอ YoY, QoQ จาก GPM ลดลงจากฐานสูงใน 1Q24 และปริมาณขายปรับตัวลง หลังผ่าน high season ราคาหุ้น outperform SET +10%/+16% ใน 1/3 เดือน โดยระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสได้ sentiment บวกหลังประกาศจ่ายปันผล 2H24 ที่ 0.31 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield สูงที่ 6% กำหนดขึ้น XD 24 เม.ย. ทั้งนี้เราแนะนำ “ถือ” จาก 1) ผลการดาเนินงาน 1Q25E มีโอกาสกลับมาชะลอตัว, 2) การ ขยายกาลังการผลิตจากโรงงานใหม่ในโกตดิวัวร์และไทย คาดเริ่มดาเนินการผลิตได้เร็วสุดในปี 2026E, และ 3) มีปัจจัยท้าทายจากนโยบายของสหรัฐฯ เช่น การยกเลิกส่งเสริมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า การขึ้น ภาษีนำเข้ายานยนต์ เป็นต้น
Krungthai XSpring
อัตรากำไร 4Q24 ฟื้นช้า แต่เป็นปัจจัยชั่วคราว
KTX ปรับคำแนะนำลงเป็น Neutral จากเดิม Outperform ตามการปรับขึ้นของราคาหุ้นเข้ามาใกล้มูลค่าเหมาะสมปี 2025E ของเราที่ 5.38 บาท อิงอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 20.7% สะท้อน PER เป้าหมาย
ที่ 4.8 เท่า Valuation Metrics บ่งชี้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังค่ากว่ามูลค่าพื้นฐาน ขณะที่การเติบโตของ
กำไรมีความสม่ำเสมอและมุมมองเชิงเทคนิคอยู่ในระดับปานกลางอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวช้าได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นของราคาวัตถุดิบ ซึ่งน่าจะค่อย ๆ คลี่คลายตามการปรับราคาขาย
บล.กรุงศรี
กำไรปกติ4 Q24 โตสูง q-q รายได้ New High ตามคาด
เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” TP 5.85 บาท อัตราปันผลสูง 6.1% โดยกำไรปกติ 4Q24 ใกล้เคียงคาดอยู่ที่ 484 ลบ. (+13%y-y, +119%q-q) ปัจจัยหนุนจากรายได้และราคาขายทำสูงสุดใหม่ ปริมาณการขายดีที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส อีกทั้ง SG&A/sales ลดลงเพราะสัดส่วนการขายในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับโมเมนตั้ม 1Q25F คาดกำไรปกติลดลง y-y, q-q เพราะต้นทุนราคายางเพิ่ม ประกอบกับปัจจัยฤดกาลที่เขาช่วงปิดกรีดปลาย ก.พ. ถึง พ.ค. จึงมองว่า 2H25F จะดีกว่าครึ่งแรกและดีที่สุดใน 4Q25F คงประมาณการกำไรปกติ 2025F ที่ 2,024 ลบ. (+21%yy) โดยเราชอบ NER ที่สุดในหุ้นกลุ่มยางฯ จาก Operating margin สูง 7-10% ทนความผันผวนของ GPM จากต้นทุนยางเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า STA
รายได้และราคาขาย 4Q24 เป็น New high ปริมาณการขายดีที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส NER รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 484 ลบ. (+13%y-y, +119%q-q) ใกล้เคียงคาด ปัจจัยหนุนจาก i) รายได้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 8,934 ลบ. (+35%y-y, +45%q-q) จากปริมาณการขายอยู่ที่ 1.36 แสนตัน สูงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส เพิ่มขึ้น +7%y-y, +39%q-q ราคาขายที่ 66 บ./กก. ทำจุดสูงสุดใหม่เพิ่มขึ้น +27%y-y, +4%q-q ii) SG&A/sales ลดลงเหลือ 1.8% (vs 4Q23: 2.8%, 3Q24: 2.9%) เพราะค่าใช้จ่ายการขายในประเทศต่ำกว่าการส่งออกที่มีค่าขนส่งและค่าเซสลดลง (ภาษีส่งออก) โดยรายได้จากการขายในประเทศเติบโตสูง +52%y-y, +50%q-q สัดส่วนรายได้จากการขายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 73% (vs 4Q23: 65%, 3Q24: 71%) ประกอบกับการเติบโตของรายได้มีอัตราเร่งสูงกว่าค่าใช้จ่าย ทั้งนี้มี FX loss และ hedging loss รวม -125 ลบ. จึงมีกำไรสุทธิที่ 359 ลบ. (-22%y-y ทรงตัว q-q)
โมเมนตั้มกำไรปกติ 1Q25F ลดลง y-y, q-q เบื้องต้นเราคาดแนวโน้มกำไรปกติ 1Q25F ลดลง y-y, q-q คาดลดลง y-y จากราคาต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งกดดัน GPM และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ช่วงปลายเดือน ธ.ค. 24 คาดกำไรปกติลดลง q-q จากปริมาณการขายลดลงจากปัจจัยฤดูกาล คงประมาณการกำไรปกติปี 2025F ที่ 2,024 ลบ. (+21%y-y) จากแนวโน้มปริมารณการขายเพิ่มขึ้น บริษัทตั้งเป้าที่ 5 แสนตัน/ปี โดยเรามองว่า 2H25F จะดีกว่าครึ่งแรกเนื่องจาก Q2 เป็นช่วงปิดกรีดยาง
เราคงแนะนำ “ซื้อ” TP25F ที่ 5.85 บ. อิง PER 6.4 เท่า แนวโน้มปริมาณการขายและทิศทางราคายาง
เพิ่มขึ้น มองเป็นหุ้นปันผลสูง ณ ราคาปัจจุบัน คิดเป็น dividend yield 6.1% XD 24 เม.ย. 25
บล. หยวนต้า
กำไรปกติดีกว่าคาดเล็กน้อย
NER รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 484 ลบ. (+118.8% QoQ, +12.7 YoY) ดีกว่าที่เราคาด 4% โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 359 ลบ. เนื่องจากมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 12 ลบ. และขาดทุนจากอนุพันธ์ 113 ลบ. กำไรปกติที่ดีกว่าคาดเล็กน้อยมาจากรายได้ที่ดีกว่าคาดจากปริมาณขายอยู่ที่ 1.36 แสนตัน (คาด 1.30 แสนตัน) และ ASP อยู่ที่ 65.6 บาท/กก. (คาด 65.0 บาท/กก.) เพิ่มขึ้น 4.4% QoQ และ 26.8% YoY รายได้อยู่ที่ 8,934 ลบ. (+45.0% QoQ, +35.3% YoY) ดีกว่าคาด 6% แต่ GPM ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยอยู่ที่ 8.8% (คาด 9.0%) SG&A/Sales อยู่เพียง 1.8% ลดลงจาก 2.9% ใน 3Q24 และ 2.8% ใน 4Q23 เพราะรายได้สูงขึ้นมาก และ ดีกว่าที่คาดไว้ที่ 2.2% แต่ดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าคาด 12%
กำไรสุทธิทั้งปี 2024 อยู่ที่ 1,652 ลบ. และกำไรปกติอยู่ที่ 1,673 ลบ. (+5.7% YoY) ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H24 อีก 0.31 บาท ให้ผลตอบแทน 6.1% ขึ้น XD วันที่ 24 เม.ย.
เราคาดกำไร 1Q25 ทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อยทั้ง QoQ และ YoY จากปริมาณขายลดลง QoQ แต่ราคาขายทรงตัวถึงเพิ่มขึ้น QoQ แต่ด้วยราคายางที่เพิ่มขึ้นเร็วใน 1Q25 ทำให้ต้นทุน เฉลี่ยอาจสูงขึ้นตาม ทำให้ GPM อาจทำได้เพียงทรงตัวที่ 9%+/- ส่วน YoY คาดปริมาณขายทรงตัว แต่ ASP เพิ่มขึ้นราว 15% YoY แต่ GPM ลดลงจากฐานที่สูง 1Q24 ทำไว้ที่ 11.6%
คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 6.45 บาท ปัจจุบันซื้อขายที่ PER68 ต่ำเพียง 5.7 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉพาะ 2H24 สูงถึง 6.1% และคาดปี 2025 ทั้งปีอีก 0.36 บาท/หุ้น ให้ผลตอบแทนอีก 7.2% คงคำแนะนำซื้อ
บล. ตรีนิตี้
NER รายงานกำไร 4Q24 ที่ 359 ล้านบาท
แนวโน้ม 2025 ราคายังยืนแข็งแกร่ง ปรับกลยุทธ์การขายรับ ประโยชน์ราคาขาขี้น
เราให้คำแนะนำ Trading Buy และราคาเป้าหมาย 5.15 บาท อิง PER ที่ 5.1 เท่า NER ยังคงเป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี 0.31 บาท Dividend Yield 6% นอกจากนี้ PBV ยังอยู่ระดับ 1.1 เท่า ROE 20% นอกจากนี้จะยังมี growth จากการขยายกำลังผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า
NER รายงานกำไรใน 4024 ที่ 359 ล้านบาท -22% YoY, -0.4% QoQ ต่ำกว่าที่ตลาด คาดส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก Fx Loss ราว 125 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรปกติจะอยู่ที่ 484 ล้านบาท +13% YoY, +118% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้
เราคาดกำไรปี 2025 ที่ 1.8 พันล้านบาท +11% YoY ผู้บริหารยังมีความมั่นใจที่ยอดขาย 5 แสนตัน โดยจะมีลูกค้าใหม่ๆ จากอินเดียที่จะทยอยเริ่มคำสั่งซื้อใน 2H25 และยังคงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 5.1 แสนตัน เป็น 8.3 แสนตัน ในปี 2027 โดย Phase 1 คาดว่าจะเริ่มการสร้างโรงงานแห่งใหม่ภายใน 2H25 และคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 1H26 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตในปี 2026 ประมาณ 30% โดยปัจจุบันบริษัทได้มีการพูดคุย กับลูกค้าใหม่ๆ เป็นที่เรียบร้อยเพื่อรองรับการเพิ่มกำลังการผลิต โดยเป็นลูกค้าอินเดียรายใหญ่ ซึ่งอินเดียเองยังมีความต้องการยางค่อนข้างมาก และจากอินโดนีเซียที่มีปัญหาต้นยางตาย ลูกค้าจึงหาแหล่งยางที่มีความมั่นคง
นอกจากนี้บริษัท ยังมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการขายสินค้าใหม่จากเดิมที่ขายล่วงหน้า 100% ลดลงเป็น 85% โดยส่วน 15% ที่ลดการขายล่วงหน้าลงจากแนวโน้มของราคายางที่เป็นขาขึ้น จะทําให้ บริษัทได้ Margin มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็อาจมีความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคายาง และปริมาณขายรถยนต์
Innovest X
กลยุทธ์การลงทุน
ㆍ แม้ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จำกัดจากราคาเป้าหมายปี 2568 ที่หุ้นละ 5.00 บาท (EPS อิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากใช้สิทธิแปลงสภาพ NER-W2 ซึ่งมี 308 ล้านหน่วย และกำหนดให้ใช้สิทธิเท่ากัน 3 ครั้งในเวลาที่เหลือ 1.5 ปี พร้อมอิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 6.0 เท่าเช่นเดิม) และมีความเสี่ยงต้องติดตามจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐซึ่งอาจกระทบต่ออุปสงค์ยาง แต่อย่างไรก็ดี NER ยังมีจุดเด่นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2H67 หุ้นละ 0.31 บาท (XD 24 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 6.1% กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “Neutral” เพื่อรับเงินปันผล
ㆍบริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 หลัง 4Q67 NER มีกำไรสุทธิ 359 ลบ. แต่ไม่รวมรายการพิเศษสุทธิที่บันทึกใน 4Q67 ราว -125 ลบ. จะมีกำไรปกติ 484 ลบ. เพิ่มขึ้น 12.7%YoY ใกล้เคียงตลาดคาด โดยมีแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 35.3%YoY เนื่องจากมีปริมาณขายยาง 1.36 แสนตัน เพิ่มขึ้น 7%YoY และราคาขายยางเฉลี่ยอยู่ที่ 65.65 บาท ต่อกก. เพิ่มขึ้น 27%YoY อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของยอดขายถูกหักล้างด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเหลือ 8.8% จาก 11.3% ใน 4Q66 หลังมีต้นทุนยางเฉลี่ยสูงขึ้นตามทิศทางราคายางที่ปรับขึ้นแรง ส่งผลให้ปี 2567 NER มีกำไรสุทธิ 1,652 ลบ. เติบโต 6.9%YoY แต่หากไม่รวมรายการพิเศษพบว่ามีกำไรปกติ 1.673 ลบ. เติบโต 5.7%YoY ใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์
ㆍปี 2568 NER ตั้งเป้ามียอดขายราว 3.45 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 26%YoY ปัจจัยหนุนจากคาดมีปริมาณขายยางที่
5 แสนตัน (+14%YoY) หลังมองลูกค้าเดิมยังมีดีมานด์ยางที่เติบโตดีและมีการขยายลูกค้าใหม่ในกลุ่มอินเดียเพิ่มเติม ส่วนราคาขายยางเฉลี่ยราว 70-72 บาทต่อกก. ทั้งนี้บริษัทมองว่าอุปทานยางโลกจะทรงตัว โดยอุปทานยางในอินโดนีเซียที่ลดลงจะถูกชดเชยจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นขึ้นในโกตดิวัวร์ ส่วนอุปทานไทยปี 68 คาดเพิ่มขึ้น 20% หลังปริมาณฝนที่ดีขึ้นทำให้กรีดยางได้เร็วขึ้น
ㆍ โรงงานใหม่แห่งที่ 3 ในไทย (กำลังผลิต 3.2 แสนตัน) จะเริ่มสร้างกลางปีนี้และจะเปิดเฟสแรกได้ในกลางปี 69 ซึ่งจะมีกำลังผลิต 1.6 แสนตัน ส่วนเฟสสองจะเปิดในปี 70 ซึ่งจะมีกำลังผลิตเพิ่มอีก 1.6 แสนตัน ทำให้กำลังผลิตจากปัจจุบัน 5:165 แสนตัน จะเพิ่มเป็น 8.356 แสนตันในปี 70 สามารถรองรับดีมานด์ที่จะเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้บริษัทมีแผนกู้เงินจากสถาบันการเงินราว 2 พันลบ. เพื่อนำไปใช้สร้างโรงงานใหม่ซึ่งคาดทำให้ D/E เพิ่มจาก 1.2 เท่าเป็น 1.6 เท่า ขณะที่ความคืบหน้าการสร้างโรงงานผลิตและจำหน่ายยางในประเทศโกตติวัวร์ยังอยู่ระหว่างรอรัฐบาลโกตดิวัวร์อนุมัติกำลังผลิตของโรงงานซึ่งยังล่าช้ากว่าที่คาดพอสมควร ขณะที่มาตรการ EUDR ที่จะบังคับใช้ปีหน้าได้เตรียมปรับปรุงโรงงานขนาดเล็กที่บุรีรัมย์รองรับแล้วซึ่งจะมีกำลังผลิตราว 1 แสนตัน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon