มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 485 จุด (+1.1%) นักลงทุนคลายกังวลวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าหลังมีรายงานว่าทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนเวลาเรียกเก็บภาษีรถยนต์จาก Mexico , Canada ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.5% หลังสหรัฐฯเผยสต็อกน้ำมันดิบที่มากกว่าตลาดคาดการณ์
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย (1) การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP พบว่าอยู่ที่ 7.7 หมื่นราย แย่กว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 1.41 แสนราย (2) ดัชนี PMI ภาคบริการจากสถาบัน แต่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ผสมผสานพบว่าทรัมป์ได้เลื่อนเก็บภาษีรถยนต์จาก Canada , Mexico เป็นระยะเวลาอีก 1 เดือน โดย US Bond Yield กลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ แต่ Dollar Index ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ประกอบกับเมื่อวานจีนได้ประกาศเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ 5% พร้อมเร่งการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นและจะอัดฉีดเงินเข้าธนาคารพาณิชย์เพื่อให้สภาพคล่องสูงขึ้นหนุนการเติบโตทางสินเชื่อ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลในอดีตชี้ว่าเศรษฐกิจจีนการเติบโตยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสะท้อนผ่านเงินเฟ้อที่ยังทรงตัว กลุ่มปิโตรเคมีที่ปรับขึ้นมาวานนี้จึงมองเป็นเพียงระยะสั้นมากกว่าและส่วนหนึ่งที่ปรับขึ้นมาอาจเป็นเพราะราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาค่อนข้างมาก
ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นมา 29 จุด (+2.5%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.07 หมื่นล้านบาท (ยังมิได้สูงมากนัก) แรงหนุนหลักมาจาก AOT , DELTA แต่การฟื้นตัวนั้นอาจเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากระยะถัดไปยังขาดปัจจัยเชิงบวกอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ทรัมป์จะเลื่อนการเก็บภาษีออกไปแต่ในช่วงข้างหน้าแล้วก็อาจประกาศกลับมาทำสงครามการค้ากับประเทศอื่นๆอีก กลับมากดดันตลาดหุ้นอีกครั้ง แม้ปัจจุบัน Valuation หุ้นไทยจะไม่แพงแต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้โดดเด่นหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA , AOT ยังมีแรงกดดันเฉพาะตัว ขณะที่ ADVANC ก็ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว แต่หากตลาดหุ้นจะปรับขึ้นกลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB) เพราะยังเป็นกลุ่มที่ผลประกอบการเห็นการขยายตัวประกอบกับราคาหุ้นยังไม่แพง คืนนี้รอติดตามตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.34 แสนราย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1200 – 1215 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนให้ Focus ที่รายตัว โดยเฉพาะตัวที่กำไรยังโดดเด่น ราคาหุ้นไม่แพงมากนักและธุรกิจแข็งแกร่ง ประกอบไปด้วย ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB) โรงพยาบาล (BDMS) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT)
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)
ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q25 ยังเห็นการเติบโตได้ดีจากราคาเนื้อสุกรที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งที่ไทยและเวียดนาม ขณะที่ต้นทุนแม้ข้าวโพดจะขึ้นเล็กน้อยแต่กากถั่วเหลืองยังปรับตัวลงต่อจึงจะเป็นผลดีต่อต้นทุนการเลี้ยงได้ ซึ่งทำให้เรามีการปรับกำไรสุทธิในปี 25 ขึ้นเป็น 19,448 ล้านบาท (ทรงตัวจากปี 24 แต่ถ้าดูเฉพาะกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 4%YoY) ขณะที่รายได้ผู้บริหารคาดการเติบโตที่ระดับ 5-8% (เราคาดเติบโต 5% มาอยู่ 612,233 ล้านบาท)
CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท)
ประกาศกำไรปกติใน 4Q24 ที่ 667 ล้านบาท (+23% YoY, +220% QoQ) สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 34%/20% จากรายได้ธุรกิจหลัก และผลกำไรกิจการร่วมค้าที่เติบโตดีกว่าคาด โดยเรามองการเติบโตที่ต่อเนื่องไปยังปี 2025 ด้วย 1) การเติบโตของ RevPar ที่คาดสูงขึ้นจากเปิดให้บริการโรงแรมที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เต็มรูปแบบ 2) โรงแรมญี่ปุ่นที่ได้รับอานิสงค์จากงาน World Expo Osaka 2025 คาดหนุนอัตราการเข้าพักเติบโต 3
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon