CGSI : Trend Spotter

13

มิติหุ้น – Trend Spotter
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักโดย DJIA (-1.14%), Nasdaq (-0.18%) และ S&P500 (-0.76%) หลังจาก Donald Trump ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก Canada เป็นสองเท่าจาก 25% เป็น 50% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันนี้ (12 มี.ค.) เพื่อตอบโต้การที่รัฐออนแทริโอของ Canada ประกาศเรียกเก็บภาษีกระแสไฟฟ้าที่ส่งให้แก่สหรัฐ 25%

อย่างไรก็ตามเช้านี้ Bloomberg รายงานว่า Donald Trump ได้ถอนมาตรการเก็บภาษีเหล็ก และอลูมิเนียม 50% มาสู่ระดับ 25% อย่างเดิมแล้ว เนื่องจาก Canada ได้ยกเลิกการเก็บภาษีไฟฟ้าให้แก่สหรัฐ

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ สหรัฐเปิดเผยตัวเลขตำแหน่งว่างงานเปิดใหม่สหรัฐ เดือน ม.ค.อยู่ที่ 7.74 ล้านตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาด (เดือนก่อน 7.6 ล้านตำแหน่ง)

ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจถดถอยสหรัฐ, ตลาดได้เริ่มมีการปรับขึ้น US recession probabilities เพิ่มขึ้นราว 5-15% สำหรับ 12 เดือนข้างหน้า (อ้างอิงจาก Forbes News)

สำหรับทองคำ ราคาทองปิดบวกที่ US$2920.9/Oz จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอน ผลกระทบสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI คืนนี้)

ด้านสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกที่ US$66.25/bbl (+0.33%) แม้จะได้รับแรงหนุนจาก US dollar index ที่อ่อนค่า แต่ปรับตัวลดลงจากความกังวลอุปสงค์ทั่วโลก พร้อมกับกลุ่ม OPEC+ ยืนยันเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย. ตามแผนเดิม

• SET Index : เราคาดว่า SET Index ยังคงแกว่งผันผวน Sideway ที่บริเวณ 1,155-1,210 จุด ท่ามกลางความตึงเครียดและของสงครามนโยบายภาษีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึง sentiment การลงทุน

อย่างไรก็ดีเราอาจเห็นโมเมนตัมการรีบาวด์ในระยะสั้นต่อจากประเด็นการมาของ กองทุน Thai ESGX โดยเฉพาะกลุ่ม Big Cap (Defensive, China play, High dividend yield) เนื่องจากมี ESG rating สูง

เราเชื่อว่าการจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra (Thai ESGX) เพื่อรองรับเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน (สิทธิลดหย่อนจากการลงทุน 5 แสนบาท) และรับเม็ดเงินใหม่ (เปิดให้ลงทุน 2 เดือน สิทธิลดหย่อนไม่เกิน 3 แสนบาท) สำหรับการลงทุน 5 ปี อาจช่วยชะลอการเทขาย LTF สำหรับกลุ่มคนที่ยังต้องการลดหย่อนภาษี โดยปัจจุบันมีอยู่ 1.6 แสนหมื่นล้านบาท

สำหรับเม็ดเงินใหม่ หากพิจารณาจากเม็ดเงินกองทุน LTF ในอดีต เม็ดเงินที่ไหลเข้า LTF ราว 2.5 หมื่นล้านบาท (Correlation ในอดีต 0.79 ต่อ SET index) จะช่วยพยุงดัชนีได้ราว 35-40 จุด

• หุ้นแนะนำ
KBANK : เราแนะนำกลุ่ม High yield ท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ไม่แน่นอน โดยมี Dividend yield ราว 5-6% สำหรับ 2025-26F เราเชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ดีขึ้นจะช่วยให้อัตราสำรองหนี้สูญของธนาคารลดลงในปี FY25-26F
(Take profit : 154.0 / Stop loss : 145.0)

CRC : เราเชื่อว่ามูลค่าได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับกำไรที่น่าจะเติบโตต่ำใน 2025-2026F เนื่องจาก CRC ปรับลดการขยายสาขาพอสมควรและเน้นการรีโนเวท ทั้งนี้เราเชื่อว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อ เนื่องจากเราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวใน 2H25 และปี FY26F
(Take profit : 33.0 / Stop loss : 29.0)

#MacroWealthResearch
#CGSInternational

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon