Pi Daily หุ้นไทยถูกแล้วแต่อาจจะยังถูกต่อไป ท่ามกลางปัจจัยกดดันต่างประเทศ ล่าสุด Trump เริ่มมองถึงโอกาส Tariff กับ EU

33

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 537 จุด (-1.3%) ขณะที่ S&P500 เข้าสู่ช่วงปรับฐานแล้วเพราะนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.5% นักลงทุนกังวลกับอุปสงค์ที่อาจจะหายไปจากภาวะสงครามการค้า

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อภาคผู้ผลิต (PPI) ขยายตัวเพียง 3.2%YoY ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 3.3%YoY และ PPI ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานขยายตัว 3.4%YoY ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 3.5%YoY พร้อมกับผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.2 แสนราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 2.25 แสนที่ แต่อย่างไรก็ตามด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกสะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสผ่อนคลาย แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับไม่สนใจประเด็นข้างต้นและกังวลกับภาษีของ Trump ล่าสุดได้เผยถึงแนวทางในการเรียกเก็บภาษีสุราและแอลกอฮอล์จาก EU มากถึง 200% เพื่อตอบโต้ที่ EU เรียกเก็บภาษี 50% ต่อวิสกี้จากสหรัฐฯ โดยรวมทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ลงทุนและเงินไหลเข้าไปยังทองคำจนเมื่อคืนที่ผ่านมาทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เรามองปรากฎการณ์ดังกล่าวเข้าสู่ภาวะ TENA (There is no alternative) เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นทั่วโลกถูกปกคลุมไปด้วยความเสี่ยงจากสงครามการค้า และตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ดีต่อเนื่องมายาวนานก็เริ่มมีระดับ Valuation ที่แพง

โดยที่สงครามการค้าจะสร้างแรงปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจโลกให้เกิด Downside ประกอบกับ Technology ในสหรัฐฯอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่าภายใต้การมา AI ของจีนที่ผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำ Big Company ในสหรัฐฯจะยังต้องจ่ายในราคาที่แพงต่อไปหรือไม่ และที่สำคัญการเติบโตของ Tech สหรัฐฯจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าการถือทองคำและภาวะเช่นนี้จะยังดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีจุดเปลี่ยน ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงไร้ความหวังด้วยการเติบโตไม่ชัดเจนทั้ง Sector , เศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายต่อเนื่องสะสม YTD แล้วกว่า 3.06 หมื่นล้านบาท แม้จะถูกแล้วก็ตาม เมื่อประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวนก็เชื่อว่าหุ้นไทยยังยากจะปรับขึ้นและอาจปรับลงตาม Sentiment เชิงลบจากต่างประเทศ ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมิชิแกน Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 63.1 หากต่ำกว่าคาดการณ์จะยิ่งซ้ำเติมตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1145 – 1165 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนไม่เน้นพิจารณาดัชนีเพราะยังเต็มไปด้วยความผันผวน แต่นักลงทุนควรพิจารณาบริษัทที่มีความสามารถแข่งขัน ราคาหุ้นไม่แพง หรือมีปันผลที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC TIDLOR) โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) อาหาร (CPF TU)

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)
ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q25 ยังเห็นการเติบโตได้ดีจากราคาเนื้อสุกรที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งที่ไทยและเวียดนาม ขณะที่ต้นทุนแม้ข้าวโพดจะขึ้นเล็กน้อยแต่กากถั่วเหลืองยังปรับตัวลงต่อจึงจะเป็นผลดีต่อต้นทุนการเลี้ยงได้ ซึ่งทำให้เรามีการปรับกำไรสุทธิในปี 25 ขึ้นเป็น 19,448 ล้านบาท (ทรงตัวจากปี 24 แต่ถ้าดูเฉพาะกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 4%YoY) ขณะที่รายได้ผู้บริหารคาดการเติบโตที่ระดับ 5-8%

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon