เอสเคิร์ฟอุตสาหกรรม   ส่งคาร์บอนสู่หลุมอ่าวไทย

49

 

มิติหุ้น – สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมจัดตั้งเครือข่าย TCCA หนุนเทคโนโลยี CCUS ขับเคลื่อนไทยสู่ความยั่งยืน ระดมทุน ร่วมมือเครือข่ายนักวิชาการ ทำวิจัย รีสกิลคนยกระดับเทคโนโลยีชั้นสูง ตั้งเป้าส่งคาร์บอนลงหลุมอ่าวไทยภายในปี 2570

 

ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และวงการวิชาการ จะต้องช่วยกันหาวิธีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สวทช. ต้องการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศในการการพัฒนาเทคโนโลยีการลดคาร์บอนที่นำไปใช้จริงในอุตสาหกรรมการ จึงจัดตั้ง  Thailand CCUS Alliance (TCCA) สร้างกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด 

 

ทั้งนี้ ได้สนับสนุนให้ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเครือข่ายพันธมิตร ตามกลยุทธ์ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)” ของ สวทช. ด้วยเชื่อว่า CCUS นอกจากช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังมีช่วยเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันระดับสากล สร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

เครือข่าย CCUS ปักธง 3 หมุดหมาย

 

ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า  TCCA มีเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี CCUS สู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมด้วยการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยี CCUS จึงต้องมีการรวมตัวเป็นเครือข่ายระดับประเทศ ช่วยให้ทุกภาคส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการลงทุน ลดระยะเวลาดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อนของงานวิจัย และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทุนสนับสนุนขนาดใหญ่จากระดับนานาชาติ เมื่อนำเทคโนโลยีไปใช้งานได้จริง จะสร้างประโยชน์เป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ  

 

ดร. ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ หัวหน้าโครงการ TCCA กล่าวว่า โครงการ TCCA มีแผนงานระยะเวลา 3 ปี (2567-2569) อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการปีที่ 1 ผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มภาคีเครือข่าย ปีที่ 2 จะเป็นการสร้างกลไกการทำงาน กำหนดบทบาทหน้าที่ และตั้งเป้าหมายที่เข้มแข็งเชิงปฏิบัติที่วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยดำเนินงานผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาวิจัย 

“เวที TCCA เป็นสื่อกลางในการหารือและผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ในทุกมิติ ทั้งในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง การผลักดันกฎระเบียบและนโยบายเพื่อปลดล็อกการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างแรงจูงใจที่จะนำไปสู่การลงทุน และการยกระดับทักษะของกำลังคนให้พร้อมกับอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ เป็น New S-curve ของประเทศไทยในอนาคต ในปีที่ 3 ของโครงการ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการระดับชาติร่วมกันระหว่างสมาชิก เพื่อหางบลงทุน พัฒนาโครงการนำร่อง (Demonstration project) ของเทคโนโลยี CCUS ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย 

 

ส่งคาร์บอนลงหลุมภายในปี 2030 

 

ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่  (NDC 3.0) ในปี 2568 เพื่อมุ่งมั่นรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2573 โลกต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในช่วงกลางศตวรรษ มีตัวชี้วัดสำคัญว่าโลกสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ทัน

ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ หรือ LT-LEDS จะต้องมีการนำ CCUS / BECCS มาใช้ภายในปี ค.ศ. 2040 และ NDC Action plan เพื่อเป้าหมายการลด GHGs รายปี ในสาขาพลังงาน ของกลุ่มที่ 3 โครงการนำร่อง CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ โดยมีค่าเป้าหมายในปี ค.ศ. 2027 – 2030 อยู่ที่ 0.25, 1.0, 1.0, 1.0 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี (MtCO2/y) ตามลำดับ 

“ CCUS Roadmap ของ สกสว. ระบุความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี CCUS ที่มีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี ค.ศ. 2050 อยู่ที่ 50-150 ล้านตันต่อปี (Mtpa) ซึ่งจะทำให้ CCUS เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถนำพาประเทศไทยเข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น 

 

“การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการพัฒนากลไกสนับสนุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีและการสนับสนุนด้านการเงินผ่านกองทุนต่างๆ รวมทั้งเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตามกรณีเงินสนับสนุนนั้นมีแนวโน้มที่จะสามารถบรรจุอยู่ในกรณีการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ หรือ Conditional เพื่อให้เจ้าของแหล่งเงินทุนในต่างประเทศ เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพราะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน ท่ามกลางความท้าทายทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ดร. พิรุณชี้

 

คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า CCUS มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม โดยจะช่วยลดต้นทุนภาษีคาร์บอนและค่าปรับ เนื่องจากเทคโนโลยี CCUS ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงภาษีคาร์บอนและค่าปรับจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด รวมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยอุตสาหกรรมที่ใช้ CCUS จะได้รับการยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะจากประเทศที่มีมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เช่น สหภาพยุโรป รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40% ภายในปี 2030 และ CCUS เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยการนำ CCUS มาใช้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

 

อัพสกิลรีสกิล รับเทคชั้นสูง 

 

รศ.ดร. สุพฤทธิ์ ตั้งพฤทธิ์กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน TCCA ใน 2 ด้านหลัก คือ งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศและการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในด้านการวิจัย มช. เป็นสถาบันวิจัยหลักที่ขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีความเชี่ยวชาญให้มีความโดดเด่นมากขึ้น เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการสำรวจและกักเก็บคาร์บอนของไทยให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับการยอมรับจากสังคม และมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของประเทศด้วยเทคโนโลยี CCUS 

 

 นอกจากนี้ มช. ยังร่วมกับสถาบันวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น โดยเฉพาะด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และกลไกทางการเงิน เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS เพื่อนำไปู่การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง มีกระบวนวิชาและหลักสูตรรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ โดยเฉพาะการ Re-skill และ Up-skill รวมถึงการจัดการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

 

“ความร่วมมือนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการวิจัย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน สร้างเครือข่ายกับนานาชาติ  มีโอกาสเข้าถึงทุนขนาดใหญ่ ช่วยยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยีไปสู่ภาคปฏิบัติ (Implementation) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ของประเทศ สุดท้ายปลายทาง เราจะสามารถมุ่งเป้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการส่งออก แทนที่จะมุ่งเป้าเพียงการลดการนำเข้าเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้” ผู้อำนวยการ สวทช. ทิ้งท้าย”