SCGJWD กางแผนโรดแมปโลจิสติกส์สีเขียว ตั้งเป้าลดคาร์บอน 40% ในปี 2573 เจรจาผู้ผลิตน้ำมันพัฒนาไบโอดีเซลเพื่อขนส่ง จุดเปลี่ยนรถบรรทุกไทย 3 ล้านคัน ในตลาดสู่พลังงานสะอาด พร้อมเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ
“บรรณ เกษมทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2568 และการวางกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนว่า การกระจายสินค้าโดยการขนส่งปลอดคาร์บอนเป็นหัวใจสำคัญที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่จะต้องวางแผนโรดแมปการลดการปล่อยคาร์บอนการลดคาร์บอนScope1-3 (ตั้งแต่ในองค์กร พลังงาน และซัพพลายเชน) โดยSCGJWD ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน 40% % ภายในปี 2573 เป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ESG เบิกทางแหล่งทุน สู้ศึกเวทีโลก
ในยุคนี้การขับเคลื่อนความยั่งยืน ผูู้ชนะคือ ผู้ที่ตอบสนองการบริหารจัดการซัพพลายเชนScope3ได้ดี เพราะถือเป็นกลุุ่มที่อยู่นอกองค์กรจึงยากที่สุดในการจัดการ โดยเฉพาะภาคธุรกิจโลจิสติกส์ ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดสัดส่วนราว 8-10% รองจากกลุ่มพลังงาน โดยการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกอยู่ที่ 33 ล้านตันต่อปี อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ปล่อยคาร์บอนราว 3 ล้านตันต่อปี ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ จึงต้องพัฒนาสู่โลจิสติกศ์สีเขียว (Green Logistics)
บริษัทจะต้องวางทิศทางยั่งยืนสอดคล้องกับทิศทางโลก และตามที่ลูกค้าเรียกร้อง และยังได้รับการยอมรับจากนักลงทุน ที่มักจะสอบถามเกี่ยวกับESG เพื่อที่จะมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงิน และนักลงทุน รวมถึงได้รับการยอมรับในเวทีการค้าโลก และยังแข่งขันได้กับรายใหญ่ในตลาด เช่น ดีเอสแอล (DSL) ได้ลงทุนการขนส่งทางอากาศไร้มลพิษ มีการใช้รถไฟฟ้าบางส่วน
“ลดคาร์บอน 5% ่โดยมีแผนปรับเปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (Electronic Vehicles-EV)บางส่วน แต่หากเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดจะต้องลงทุนมหาศาล จึงมองหาพลังงานทางเลือก ก่อนจะไปสู่รถไฟฟ้า ที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนลดภาษี
ไบโอดีเซล ทดแทนพลังงานไฟฟ้า
ทั้งนี้รถบรรทุกในไทยในธุรกิจขนส่งในปัจจุบันมีกว่า 3 ล้านคัน ที่ยังใช้น้ำมันดีเซล จึงต้องปรับตามคำเรียกร้อง โดยมองหาพลังงานไบโอดีเซล เข้ามทดแทน ถือเป็นพลังงานที่ตอบโจทย์การพัฒนาพลังงานจากรากฐานการเกษตร มีต้นแบบในสหรัฐอเมริกา ดัดแปลงเครื่องยนต์เพื่อใช้ไบโอดีเซลได้ 100% เป็นพลังงานสะอาดที่ลงทุนต่ำ เพราะไม่ต้องเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า หากพิจารณาแล้วอยู่ในระยะคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน
“ไบโอดีเซล ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม คืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี ก็ถือว่าคุ้มค่าต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาทต่อคัน เทียบกับติดแก๊สราว 6-7 หมื่นบาทต่อคัน จึงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนมากกว่าหากเทียบกับการลงทุนเปลี่ยนรถบรรรทุกไฟฟ้า โดยไม่ต้องซื้อรถใหม่ หากประเทศไทยจะพัฒนาจะต้องมีการหาพันธมิตรผู้ร่วมทุนระหว่างผู้ผลิตน้ำมัน อาทิ ปตท., บางจาก และเชลล์ เป็นต้น ”
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon