Pi Daily รอติดตามประชุม FED คืนนี้ ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว อาจเห็นถ้อยแถลงผ่อนคลาย หนุนสินทรัพย์เสี่ยง

26

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 260 จุด (-0.6%) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างระมัดระวังก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะแถลงผลประชุมในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.72% หลังจากทรัมป์และรัสเซียเจรจากันเกี่ยวกับการยุติสงครามในยูเครน

เมื่อคืนที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯมิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้การเคลื่อนไหวของ US Bond Yield ค่อนข้างทรงตัว เพราะนักลงทุนรอติดตามผลประชุม FED ที่จะทราบทางการในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย หรือทราบผลทางการช่วงเช้าวันพฤหัสบดีของประเทศไทย สำหรับผลประชุมครั้งนี้ CME FED Watch ให้น้ำหนักอย่างเป็นทางการว่า FED จะคงดอกเบี้ยระดับเดิม แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญอาจไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ยแต่เป็นปัจจัยเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจากนี้รวมไปถึงการส่งสัญญาณต่อดอกเบี้ยเพราะปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญกับตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มต่ำกว่านักวิเคราะห์ประเมินไว้ประกอบกับมีความเสี่ยงไปทาง Downside Risk จากนโยบายกีดกันการค้า ทำให้อาจเปิดช่องทางในการดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามด้วยการกีดกันการค้าจะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ จึงต้องรอติดตามว่าจะมีสัญญาณผ่อนคลายหรือไม่ หากส่งสัญญาณก็มองเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก

ด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 1 ม.ค. – 16 มี.ค. สะสมที่ 8.29 ล้านคน (+3.9%YoY) นับว่าขยายตัวค่อนข้างต่ำและสอดคล้องกับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 1 – 16 มี.ค. ที่ทรงตัว (-0.2%YoY) และหากเทียบกับช่วงปี 19 พบว่า (-14%YoY) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันระยะสั้นต่อกลุ่มท่องเที่ยว ส่วนการปรับลงของตลาดหุ้นอินโดนีเซียวานนี้ปรับลงไปลึกสุด -7% ก่อนจะฟื้นตัวมาปิดราว -3.8% Bloomberg ประเมินว่าเกิดจากการใช้จ่ายผู้บริโภคที่อ่อนแอและมาตรการประชานิยมของงผู้นำประเทศ รวมไปถึงกระแสเปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โดยหุ้นไทยที่มีรายได้จากอินโดนีเซียประกอบไปด้วย BBL SCGP SCC แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพียงปัจจัยกดดันระยะสั้นต่อหุ้นข้างต้นเท่านั้น คืนนี้นอกเหนือประชุม FED รอติดตามสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.8 ล้านบาร์เรล วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1165 – 1190 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน Valuation หุ้นไทยอาจไม่แพงแต่ถึงอย่างนั้นกลยุทธ์การลงทุนยังคงสำคัญท่ามกลางการเติบโตหลังจากนี้ที่อาจมิได้โดดเด่นเท่าใดนัก หุ้นที่ควรให้ความสนใจยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ส่งออก (ITC TU) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA)

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท)

กำไรสุทธิ 4Q24 3,898 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นการปรับปรุงบัญชีจากการถือหุ้นใน Grab Thailand กว่า 497 ล้านบาท จะมีกำไรปกติถึง 4,392 ล้านบาท (+11%YoY,+7%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้เพราะค่าใช้จ่ายการบริหารมีเพียง 2,706 ล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 3,000 ล้านบาท) สำหรับรายได้ยังเห็นการเติบโตดีทั้งจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และโรงแรม ส่วนอสังหาโตดีจาก 3Q24 แต่ลดลงจาก 4Q23 แนวโน้มในปี 25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จากการเปิดศูนย์ใหม่ 2 แห่ง และออฟฟิศ 1 แห่ง

WHA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท)

การนำ WHAID เข้าจดทะเบียนเลื่อนไปอย่างน้อย 2-3 ปี โดยไม่กระทบกับแผนการลงทุนที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้บริหารให้เหตุผลว่า เงินที่ได้จากการ spin off ส่วนหนึ่งเตรียมไว้สำหรับการ M&A กิจการที่มองว่ามีโอกาสเสริมธุรกิจของ WHA ส่วนแผนการเพิ่มพื้นที่เช่าอีก 200000 ตร.ม. ทางผู้บริหารมีความมั่นใจเพราะจะมีการตั้งโรงงานเพิ่มที่เวียดนามหลายที่

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon