Pi Daily ผลประชุม FED อาจสะท้อนถึง Stagflation ในสหรัฐฯ ตลาดจึงคาดหวังถึงการผ่อนคลายในระยะถัดไป หากเงินเฟ้อไม่ร้อนแรงจนเกินไป FED ก็อาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้ง เป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นระยะสั้น แต่ทองคำยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง

26

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 383 จุด (+0.92%) หลังจาก FED มีมติคงดอกเบี้ยตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.3% หลังสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบลดลง

เมื่อคืนที่ผ่านมา FED ได้คงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้ อย่างไรก็ตามมุมมองต่อเศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนไปเพราะประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวเพียง 1.7%YoY จากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ 2.1%YoY พร้อมกับปรับเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2.7%YoY จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.5%YoY โดยประเมินดอกเบี้ยปลายปี 25 ไว้ที่ 3.9% ปัจจุบันค่ากลางของดอกเบี้ย FED อยู่ที่ 4.4% หากค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยปลายปีอยู่ที่ 3.9% ก็เท่ากับว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ซึ่งอาจแบ่งเป็น 0.25% 2 ครั้ง โดยเท่ากับประมาณการครั้งก่อนหน้าในการประชุมเดือน ธ.ค. 24 แต่อย่างไรก็ตามจุดน่าสนใจคือทิศทางต่อเศรษฐกิจที่ดูอ่อนแรงลง ก็เป็นไปได้ที่หากเงินเฟ้อลดลงได้ผลจากสงครามการค้ามิได้แรงมากนัก อาจะเห็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า 2 ครั้งก็เป็นไปได้ เพราะภาวะดังกล่าวกำลังสะท้อนว่า FED มองเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ Stagflation (เศรษฐกิจโตต่ำ เงินเฟ้อขยายตัวสูง) ถ้อยแถลงของประธาน FED ระบุไว้ว่าการเกิดเศรษฐกิจถดถอยนั้นแม้นักวิเคราะห์หลายคนจะปรับเพิ่มโอกาสเกิด แต่สำหรับ FED นั้นการที่เศรษฐกิจตกต่ำแรงโอกาสเป็นไปได้ยังต่ำ สำหรับการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศต่างๆของทรัมป์ FED มองว่ามาตรวัดความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะสั้นบางตัวปรับสูงขึ้นเพราะทาง FED เห็นสิ่งนี้ทั้งตลาดและผู้ตอบแบบสำรวจ

โดยการบริหารทิศทางนโยบายการเงินจากนี้หากเกิดเหตุไม่คาดคิดเช่นอัตราการว่างงานขยับขึ้นสูงหรือเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ก็สามารถผ่อนปรนนโยบายได้ หลังจากทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า US Bond Yield ปรับลง สะท้อนมุมมองผ่อนคลายนโยบายจากนักลงทุนและ CME FED Watch ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปในช่วง มิ.ย. ทั้งนี้ระยะสั้นเป็นบวกกับกลุ่มการเงิน (MTC TIDLOR) ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET ปรับขึ้นมาปิดบวก 1.1% และเป็นการปรับขึ้นในทุกๆ Sector หลังมีรายงานว่านักลงทุนต่างประเทศเริ่มมองหุ้นไทยในทิศทางบวกจาก Valuation ที่ไม่แพงและเชื่อว่า สะท้อนปัจจัยกดดันต่างๆไปมากแล้วและมี ThaiESGx เป็นแรงหนุนเสริม ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับมุมมองข้างต้นเมื่อประกอบกับ FED ดำเนินนโยบายที่ไม่เข้มงวดจึงอาจส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยค่อยๆฟื้นตัว วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1180 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนแนะสะสมได้เช่นเดิมแต่ยังเน้นย้ำหาหุ้นพื้นฐานดี ราคาหุ้นไม่แพง และมีปันผลในระดับ 2% ขึ้นไป อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) นิคมอุตสาหกรรม (WHA) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) อสังหาฯ (AP SPALI) ส่งออก (ITC TU)

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท)
กำไรสุทธิ 4Q24 3,898 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นการปรับปรุงบัญชีจากการถือหุ้นใน Grab Thailand กว่า 497 ล้านบาท จะมีกำไรปกติถึง 4,392 ล้านบาท (+11%YoY,+7%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้เพราะค่าใช้จ่ายการบริหารมีเพียง 2,706 ล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 3,000 ล้านบาท) สำหรับรายได้ยังเห็นการเติบโตดีทั้งจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และโรงแรม ส่วนอสังหาโตดีจาก 3Q24 แต่ลดลงจาก 4Q23 แนวโน้มในปี 25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จากการเปิดศูนย์ใหม่ 2 แห่ง และออฟฟิศ 1 แห่ง

WHA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท)
การนำ WHAID เข้าจดทะเบียนเลื่อนไปอย่างน้อย 2-3 ปี โดยไม่กระทบกับแผนการลงทุนที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้บริหารให้เหตุผลว่า เงินที่ได้จากการ spin off ส่วนหนึ่งเตรียมไว้สำหรับการ M&A กิจการที่มองว่ามีโอกาสเสริมธุรกิจของ WHA ส่วนแผนการเพิ่มพื้นที่เช่าอีก 200000 ตร.ม. ทางผู้บริหารมีความมั่นใจเพราะจะมีการตั้งโรงงานเพิ่มที่เวียดนามหลายที่

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon