มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 11 จุด (-0.03%) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวน ขณะที่นักลงทุนอยู่ในช่วงประเมินข้อมูลด้านเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.7% หลังสหรัฐฯประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องกับอิหร่านรอบใหม่
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานยอดขายบ้านมือสองที่ 4.26 ล้านหลังคาเรือนดีกว่าที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 3.95 ล้านหลังคาเรือน และรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.23 แสนราย เป็นไปตามที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ ด้วยตัวเลขที่ค่อนข้างเป็นมุมมองเชิงบวกทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีปรับขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงทรงตัวสวนทางกับในช่วงแรกที่ปรับขึ้นมาได้ถึง 0.68% สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในการลงทุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจเกิดจากราคาหุ้นที่แพง ความสามารถในการทำกำไรอนาคตที่อาจไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนก่อนหน้า กังวลกับนโยบายภาษีของ Trump สำหรับปัจจัยในประเทศวานนี้ SET INDEX ปรับขึ้นไปทดสอบระดับ 1200 จุดก่อนจะค่อยๆซึมตัวลงมาปิดที่ 1181 (-0.66%) โดยที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 2.8 พันล้านบาทและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ยังเป็นภาพที่สะท้อนว่าไร้ความเชื่อมั่นต่อการลงทุน เพราะปรับขึ้นไปทดสอบแนวจิตวิทยา และก็ถูกแรงขายออกมา สวนทางกับปัจจัยที่เกิดขึ้นซึ่งดูเหมือนจะเป็นบวกไม่ว่าจะเป็นการเตรียมออกกองทุน ThaiESGX และสถาบันต่างชาติบางเจ้าปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้นไทยเป็น Over Weight ขณะที่หุ้นไทยก็มี Valuation ไม่แพง
นอกจากนี้ยังมีข่าวบวกจากธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยการผ่อนคลายมาตรการ LTV รายละเอียดได้แก่ (1) ผู้กู้สามารถกู้ได้เต็ม 100% ในสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาทตั้งแต่สัญญาหลังที่ 2 เป็นต้นไป (2) หลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัญญากู้หลังแรก) การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราวสำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 26 ปัจจัยข้างต้นเรามองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อกลุ่มอสังหาฯ แต่ไม่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงพื้นฐานเพราะยังมองปัญหาอยู่ที่กำลังซื้อ เรื่องของความเชื่อมั่นต่อรายได้และเศรษฐกิจ โดยเลือก Top Pick เป็น AP SPALI คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามโดยตัวเลขสำคัญจะไปอยู่ในช่วงสัปดาห์หน้าทั้งเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) และการค้าระหว่างประเทศของไทย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1170 – 1190 ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์ยังคงให้มองที่รายตัวมากกว่าจะให้น้ำหนักเคลื่อนไหวของดัชนี อย่างไรก็ตามระยะสั้นมีแรงหนุนจากการซื้อหุ้นคืนของ PTT หุ้นแนะนำเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมและมีอำนาจต่อรองกับลูกค้า / ผู้ส่งวัตถุดิบสูง อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CPALL) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ธนาคาร (BBL KBANK KTB) โรงแรม (CENTEL MINT) ส่งออก (ITC TU)
CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท)
กำไรสุทธิ 4Q24 3,898 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นการปรับปรุงบัญชีจากการถือหุ้นใน Grab Thailand กว่า 497 ล้านบาท จะมีกำไรปกติถึง 4,392 ล้านบาท (+11%YoY,+7%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้เพราะค่าใช้จ่ายการบริหารมีเพียง 2,706 ล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 3,000 ล้านบาท) สำหรับรายได้ยังเห็นการเติบโตดีทั้งจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และโรงแรม ส่วนอสังหาโตดีจาก 3Q24 แต่ลดลงจาก 4Q23 แนวโน้มในปี 25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จากการเปิดศูนย์ใหม่ 2 แห่ง และออฟฟิศ 1 แห่ง
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท)
ผลประกอบการปี 25 ของ TU ยังเห็นการเติบโตได้ แต่ไม่มากนักเพราะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 300-350 ล้านบาท เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิใหม่ที่ 5,012 ล้านบาท (+1%YoY) โดยทางผู้บริหารจะหันมาเน้นการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการตั้งเป้าเติบโต 3-4% ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารแช่แข็งที่สิ้นสุดมาตรการ Right Sizing แล้ว หรือธุรกิจอาหารแปรรูปที่จะเน้นสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้นโดยเฉพาะที่ยุโรป
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon