หุ้นไทยเมื่อไหร่ จะฟื้นจากหลุม 

232

  

นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง 17% มาร์เก็ตแคปหดตัว ลดลงเหลือ 14.23 ล้านล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5.7 หมื่นลบ. นอกจากวิกฤตตลาดหุ้นในประเทศ ยังเผชิญกับปัจจัยต่างประเทศ สงครามการค้า

 

ทิศทางตลาดหุ้นเริ่มนิ่งขึ้น 

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า  การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกยุค TRUMP 2.0 กดดันตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาในหลายประเทศทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน ไทย ซึ่งหลังจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐที่ไม่มีการตอบโต้กลับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน มีหลายประเทศพร้อมเจรจากับสหรัฐฯ ทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยุโรป รวมถึงล่าสุดทางการจีนเปิดทางพร้อมเจรจากับสหรัฐฯ

ล่าสุด TRUMP ยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้มีการประชุมการค้ากับจีนและมีข้อตกลง กันเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามทางการจีนบอกว่ายังไม่ได้เริ่มมีการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ ว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่องหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่รอยอยู่ข้างหน้า โดย สรท.มองว่าในช่วง 2H68 ผลกระทบของภาษีทรัมป์อาจทำให้คำสั่งซื้อจากคู่ค้าสหรัฐลดฮวบ เหตุกำไรไม่พอกับรายจ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ คาดส่งออกไทยทั้งปี 68 จะขยายตัวได้ราว 2-3%

 

กองทุน THAI ESGX มาในเวลาที่ใช่

บล.เอเซีย พลัส ยังระบุอีกว่า ช่วงที่ผ่านมา 5 –6 ปี ตลาดหุ้นไทยจะย่อตัวลงมาลึกจาก 1700 –1800 จุด  ระดับ PBV > 1.8 เท่า  เหลือ 1146 จุด ซึ่งการลงมาแรง ส่งผลให้นักลงทุนขาดทุน เพราะช่วง 5 –6 ปี ตลาดหุ้นไทยเผชิญหลายวิกฤตหนักๆ พอดี ทั้งโควิด และคร่อม ช่วงปลาย TRADE WAR 1และต้น TRADE WAR 2 กดดันจน PBV ของ SET ปัจจุบันเหลือ 1.07 เท่า เท่านั้น

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณตลอด 25 ปีที่ผ่านมา หากลงทุนระยะยาวใน SET 5 ปี โดยซื้อหุ้น ในช่วง PBV < 1.1 เท่า พบว่า SET มีโอกาสให้ผลตอบเฉลี่ยแทนสูงถึง 208% ใน 5 ปีข้างหน้า  เฉลี่ย 25% ต่อปี

ส่วนปัจจุบัน มีเม็ดเงินคงค้างในกองทุน LTF ณ 23 เม.ย. 68 ที่ 1.52 แสนล้านบาท และหากดูผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ย ย้อนหลัง 5 ปี ของกองทุน LTF ทั้งหมด 106 กองทุน ให้ผลตอบแทนทรงๆ -0.7% ต่อปี ถือว่าทำได้ดี ภายใต้ตลาดหุ้น ที่เผชิญทั้งวิกฤตโควิด และคร่อมช่วงปลาย TRADE WAR และต้น TRADE WAR 2

ดังนั้น หวังว่าการโยกเงินจาก LTF เป็น THAI ESGX หรือ ซื้อกองทุน THAI ESGX เพิ่ม ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากกับ นักลงทุน ช่วง 2 พ.ค. – 30 มิ.ย. 68  เพราะ SET ปัจจุบันมี VALUATION หุ้นไทยถูกมาก PBV 1 เท่าต้นๆ หลังเผชิญ วิกฤตต่างๆ มาเยอะ และในระยะยาวระดับ 5 ปีขึ้นไป ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมักจะส่งผลน้อยลง และยังมีโอกาส ได้ผลตอบแทนที่ดีระดับ 25% ต่อปี รวมถึงสามารถเม็ดเงินนำไปลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีก

กลยุทธ์ยังคงแนะนำ 10 หุ้นเด่น มี ESG RATING ได้เม็ดเงินจากกองทุน THAI ESGX ทยอยเข้ามาหนุน แบ่งเป็น 5 หุ้น เก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง DELTA, AMATA, SCGP, TOP, AOT และ 5 หุ้นสะสมระยะกลางยาว SCC, CPALL, BDMS, WHA, CK

 

SET ถูกตราหน้าเป็น worst performer

ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น worst performer ในภูมิภาค เนื่องจากดัชนี SET ปรับลง 17% YTD ทำให้ขณะนี้ SET ซื้อขายที่ P/E ล่วงหน้า 12 เดือนประมาณ 11 เท่า หรือใกล้เคียงกับ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี จึงเชื่อว่าหุ้นไทยมี downside risk ค่อนข้างจำกัดแล้ว

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่ครั้งที่ SET ซื้อขายที่ P/E ล่วงหน้า 12 เดือนต่ำกว่าในปัจจุบัน โดย SET ซื้อขายที่ 9.2 เท่าเดือนมิ.ย.53 และ 9.5 เท่าเดือนม.ค. 54 เมื่อไทยเผชิญวิกฤตทางการเมือง ขณะที่ซื้อขายที่ 11.2 เท่าเดือน ก.พ.59 เมื่อไทยประสบภัยแล้งรุนแรง

เมื่อเผชิญความไม่แน่นอนจากมาตรภาษีสหรัฐฯ จึงมองว่าหุ้น Domestic defensive และ High-yield play เป็นตัวเลือกที่ดี โดยหุ้น Top pick ในปัจจุบันประกอบด้วย BDMS, BJC, CBG, CPN, MINT, MTC และ PR9 และยังคงเป้าดัชนี SET อยู่ที่ 1,200 จุด ซึ่งยังเท่ากับ P/E 13.4 เท่าในปี 69 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี

อย่างไรก็ตาม SET อาจมี downside risk หากมาตรการภาษีของสหรัฐฯส่งผลกระทบต่อไทยมากกว่าคาด และความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ อาจช่วยหนุนตลาดได้

 

 

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon