มิติหุ้น – บลจ.ทาลิส มองไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ ผลงานบริษัทจดทะเบียนขยับพุ่งช่วยหนุน ชี้เป็นเวลาดีจัดพอร์ตเชิงรุก ขยับลงทุนหุ้นไทย 70%
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส ประเมินสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในช่วงไตรมาสสุดท้ายยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากแรงสนับสนุนในเชิงปัจจัยพื้นฐานของปีนี้ ทั้งเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าจะเติบโต 10-12% ในปีนี้ ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราการเติบโตที่ดีกว่าปีก่อนที่ 9%
ปัจจัยบวกหนุนหุ้นไทยไปต่อ
บวกกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของ บจ. ที่จะออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ในเดือนตุลาคม โดยภาพรวมคาดว่าจะเติบโตอยู่ในระดับ 15% ขึ้นไป ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี หากเปรียบเทียบกับในสองไตรมาสที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการเติบโตที่ประมาณ 10%
นอกจากนี้ ปัจจัยบวกที่ถือว่ามีส่วนสนับสนุนสถานการณ์การลงทุนของตลาดหุ้นไทย คือเรื่องของการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นเริ่มมีการตอบสนองในเชิงบวก เพราะหากดูข้อมูลย้อนหลังจากการเลือกตั้งใน 5 รอบ ที่ผ่านมา จะมีเพียงหนึ่งรอบเท่านั้นที่ก่อนการเลือกตั้ง 6 เดือน ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง แต่นอกนั้นทุกรอบที่มีการเลือกตั้ง ก่อนหน้าการเลือกตั้ง 6 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวขึ้นอยู่ที่ประมาณ 10-18% หรือสรุปได้ว่า ใน 5 รอบดัชนีจะมีการบวก 4 รอบและติดลบ 1 รอบ
6เดือนก่อนเลือกตั้งหุ้นบวก
“ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจของไทยตอนนี้อยู่ในช่วงทิศทางขาขึ้น ดังนั้น ช่วงเวลา 6 เดือนนับจากนี้ ถ้ามองว่าวันเลือกตั้งคือ วันที่ 24 ก.พ. 2562 ช่วงระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเลือกตั้งคือ 24 ส.ค. 2561 – 24 ก.พ. 2562 ซึ่งหากไปดูสถิติย้อนหลังในอดีตตลาดจะบวก 18% ดังนั้น หากดูช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. จนถึงช่วงระยะนี้หุ้นได้บวกขึ้นมาประมาณ 3% แล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะยังคงได้รับปัจจัยเชิงบวกในเรื่องของฤดูกาลการเลือกตั้ง รวมถึงเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตัวเลข GDP ที่จะประกาศออกมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ประมาณที่ 4.5%” นายประภาสกล่าว
ชี้ทิศทางจัดพอร์ตเชิงรุก
นายประภาส กล่าวอีกว่า บลจ.ทาลิส สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงหลายเดือนมีการแกว่งตัวไปในทิศทางขาลง และมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ในส่วนที่เหลือของปีนี้จนต่อเนื่องไปถึงช่วงของการเลือกตั้ง และถึงแม้ว่าตลาดจะมีการปรับตัวขึ้น แต่คงเป็นการปรับตัวขึ้นแบบปรับฐานเป็นรอบๆ ซึ่งในระยะยาว เวลาที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวร้อนแรงก็มักจะมีผลต่อการปรับตัวในอนาคต เช่นเดียวกับในรอบปีนี้ที่ดัชนีจาก 1,850 จุด ปรับลงมาที่ 1,600 จุด ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในช่วงเวลา 1-2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นโอกาสดี ในการจัดน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต ที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นให้อยู่ในระดับเชิงรุก โดยประมาณ 60-70% ของพอร์ตในกรอบการลงทุนช่วง 6-12 เดือนข้างหน้านี้ คาดว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระดับหนึ่ง