ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ได้เข้าซื้อขายวันแรก เปิดตลาดฯที่ 2.22 บาท จากราคา IPO ที่ 2.58 บาท โดย NER ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากยางพารา ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราไปยังนอกราชอาณาจักร โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศต่อต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ของรายได้จากการขายสินค้า
NER มีทุนจดทะเบียน 770 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 940 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 600 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวน 600 ล้านหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม 2561 ในราคาหุ้นละ 2.58 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,548 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาIPO 3,973 ล้านบาท โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บมจ. หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ด้านนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER ระบุว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ มีความน่าเชื่อถือต่อคู้ค่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น สามารถรองรับแผนการขยายกิจการในอนาคต ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพและขยายโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัท สอดคล้องตามการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการขยายการดำเนินธุรกิจ และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว
สำหรับ NER มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ 61.04% นางทัศนีย์ ยังมีวิทยา 0.98% และ นางสาวนลินี แจ่มวุฒิปรีชา 0.39% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นIPO มาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.58 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 9.96 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 398.83 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 1,540 ล้านหุ้น (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.2590 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือภายหลังจากหักภาษี และเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมาย