มิติหุ้น – ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.ทรีนีตี้ โดยนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมิน SET Index เดือนมีนาคม 2562 มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,600-1,700 จุด โดยดัชนีฯที่อยู่สูงกว่าระดับ 1,660 จุด ขึ้นไปเป็นดัชนีฯ ที่ซื้อขายอิงบนพื้นฐานของกำไรปีหน้า เนื่องจากหากอิงบนกำไรปีนี้จะเทียบเท่าระดับ Forward PE เกินกว่า 15 เท่า โดยหาดัชนีฯจะไปซื้อขายบน Valuation ของปีหน้านั้น เบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ขอใช้ระดับ Forward PE เพียง 14 เท่าเสียก่อน ซึ่งจากการคำนวณจะได้ระดับดัชนีฯเหมาะสมที่ 1,690 จุด และเป็นที่มาของแนวต้าน1,700 จุด ในเดือนมีนาคมนี้
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญประจำเดือนนี้ได้แก่ 1.ความเป็นไปได้ที่นักวิเคราะห์จะปรับลดประมาณการกำไรลงต่อ จากการที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการบังคับใช้พรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ที่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ซึ่งมีในส่วนของเงินชดเชยเลิกจ้างเพิ่มขึ้น 2.ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังคงปรับตัวลงต่อ ซึ่งสะท้อนว่าตลาดนั้นได้รับรู้ปัจจัยบวกจากการเลื่อนเส้นตายการเจรจาการค้าไปพอสมควรแล้ว และ 3.การส่งออกของไทยที่หดตัวมากสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยเป็นผลมาจากเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า และผลพวงจากสงครามการค้า โดยกลุ่มที่ได้รับปลกระทบสำคัญยังคงได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามและเป็นได้ทั้งบวกและลบได้แก่ ผลการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศวันที่ 24 มีนาคม รวมถึงหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่และนายกฯ คนใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อไปยังเสถียรภาพของรัฐบาลและการออกกฎหมายต่างๆในช่วงถัดไป ขณะที่ยังมีประเด็นการประกาศผลการพิจารณาของ MSCI ว่าจะมีการนำข้อมูล NVDR เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นหรือไม่ ซึ่งหากมีการบังคับใช้จริงจะเป็นผลลบต่อกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้มีการจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติผ่าน NVDR แต่จะเป็นผลบวกต่อตัวหุ้นที่ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าวที่อาจถูกนำเข้าสู่การคำนวณดัชนีใหม่ ได้แก่ INTUCH, DTAC, RATCH, CENTEL โดยการบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวอาจทำให้น้ำหนักของหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM ปรับตัวเพิ่มขึ้นสุทธิราว 0.5%
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็น Brexit ว่าจะมีการเลื่อนเส้นตายวันที่ 29 มีนาคมออกไปหรือไม่ หากไม่เลื่อน คาดจะเป็นปัจจัยสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้ สำหรับกลุ่มหุ้นปลอดภัย 3 กลุ่มที่แนะนำให้ถือต่อไปได้ ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงที่ราคายังคง Laggard ได้แก่ BBL กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, CENTEL และกลุ่มที่ราคารับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว ได้แก่ BDMS